น่าสนใจ คุณแม่ผู้เขียนเป็นคนติวลูกด้วยตัวเอง มีความตั้งมั่นในการให้ลูกสอบเข้าโดยใช้วิธีสอนผ่านการเล่น => ดูแล้วเป็นแนวทางเดียวกับที่เราต้องการเช่นกัน ลูกไม่เครียด แม่แอบเครียดก็ไม่เป็นไร ไม่ลองเราจะไม่รู้ ลองดูแล้วผลเป็นยังไงก็ต้องยอมรับนะ ^^
https://www.facebook.com/todaydesign/photos/a.570720513017653.1073741828.533851826704522/757983860957983/?type=1
ขอคัดลอกมาเก็บไว้เพื่ออ่านในอนาคตนะคะ
สอบสาธิต เตรียมชีวิตให้ลูกรัก
ตอนที่ ๑
"บันทึกเส้นทางมุ่งตรงสู่รั ้วสาธิต"
แม่อยากเขียนบันทึกนี้ไว้ เพื่อให้ลูกได้อ่าน
ลูกจะได้รู้ว่าแม่ต้องการมอ บสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกทั้ง สองมากแค่ไหน ...
และการศึกษาก็เป็นสิ่งสำคัญ ที่สุดที่แม่จะมอบให้ลูกได้
เมื่อแม่รู้ว่ามีลูกมาอยู่ใ นท้อง แม่ก็เริ่มอ่านหนังสือสารพั ดเกี่ยวกับลูก เพื่อที่จะดูแลลูกให้ดีที่ส ุด อะไรที่ไม่ดี ไม่ควรทำสำหรับแม่ท้อง แม่ลด ละ เลิกทั้งหมด เพื่อให้ลูกออกมาสมบูรณ์แข็ งแรงและมีพัฒนาการที่ดี
เมื่อแม่ไปไหว้พระขอพร แม่ก็จะขอเสมอว่าขอให้ลูกเป ็นเด็กดี มีศีล สมาธิ ปัญญา และเป็นที่รักของทุกคนที่ได ้พบเห็น
และแม่ก็คิดว่าสิ่งที่ดีที่ สุดที่แม่จะมอบให้ลูกได้ก็ค ือการศึกษาที่ดี
แม่หาข้อมูลมากมายเรื่องการ หาโรงเรียนให้ลูก แล้วแม่ก็พบว่าแนวบูรณาการน ่าจะเหมาะกับหนูที่สุด ไม่เน้นวิชาการเกินไป มีความสุขกับการเรียนรู้ และได้พัฒนาทักษะด้านการคิด อย่างรอบด้าน
แม่ดูข้อมูลแนวบูรณาการของท ุกโรงเรียนในละแวกใกล้บ้าน และแม่ก็พบว่าสาธิตเกษตรนี่ แหละดีที่สุด แต่เขาเปิดรับตอนชั้นประถม 1
ยิ่งแม่ได้หาข้อมูลเกี่ยวกั บสาธิตเกษตร แม่ยิ่งชอบโรงเรียนนี้ แม่คิดว่าสภาพแวดล้อมของโรง เรียนเป็นปัจจัยสำคัญอันดับ ต้นๆ ในการเลือกโรงเรียนให้ลูกเล ยก็ว่าได้
จะว่าไปแม่หาโรงเรียนประถมใ ห้หนูก่อนที่จะหาโรงเรียนอน ุบาลเสียอีก
"บันทึกเส้นทางมุ่งตรงสู่รั
แม่อยากเขียนบันทึกนี้ไว้ เพื่อให้ลูกได้อ่าน
ลูกจะได้รู้ว่าแม่ต้องการมอ
และการศึกษาก็เป็นสิ่งสำคัญ
เมื่อแม่รู้ว่ามีลูกมาอยู่ใ
เมื่อแม่ไปไหว้พระขอพร แม่ก็จะขอเสมอว่าขอให้ลูกเป
และแม่ก็คิดว่าสิ่งที่ดีที่
แม่หาข้อมูลมากมายเรื่องการ
แม่ดูข้อมูลแนวบูรณาการของท
ยิ่งแม่ได้หาข้อมูลเกี่ยวกั
จะว่าไปแม่หาโรงเรียนประถมใ
ตอนที่ ๒
"ก้าวแรกสู่โรงเรียนอนุบาล"
เมื่อแม่หาข้อมูลอย่างมากมา ย แม่ก็ปักธงไว้ที่สาธิตเกษตร หลังจากที่แม่ปักธงไว้แล้ว แม่ก็เริ่มหาโรงเรียนอนุบาล ใกล้บ้านที่สอดคล้องกับสาธิ ตเกษตรมากที่สุด
...
แม่จำได้ว่าตอนนั้นแม่ใกล้จ ะคลอดน้องแล้ว อายุครรภ์ได้ ๘ เดือนเศษ และน้องจะคลอดในเดือนกันยาย น แม่กับคุณพ่อรีบออกตามล่าหา โรงเรียนที่ว่านั้น ไปดูหลายที่มากๆ แล้วสุดท้ายก็มีพี่ใจดีคนหน ึ่งแนะนำให้ไปดูที่โรงเรียน อนุบาลเล็กๆ ใกล้บ้าน
แม่เข้าไปดูก็ประทับใจตั้งแ ต่แรกเห็น เป็นโรงเรียนเล็กๆ ที่ดูอบอุ่น มีสถานที่ให้ลูกได้วิ่งเล่น มีสระว่ายน้ำ และเป็นแนวบูรณาการ แม่ชอบโรงเรียนนี้ทันที และตั้งใจมากว่าจะให้หนูได้ เข้าเรียนที่นี่
แต่...อายุของหนูยังไม่ถึงเ กณฑ์ ๒ ขวบ ๖ เดือนของนักเรียนเตรียมอนุบ าลที่โรงเรียนตั้งไว้ เพราะขณะนั้นหนูอายุแค่ ๒ ขวบ ๑ เดือน และในเดือนพฤศจิกายนที่โรงเ รียนเปิดเทอม ๒ หนูจะมีอยู่แค่ ๒ ขวบ ๓ เดือนเท่านั้น
แม่อยากให้หนูเข้าเรียนมาก ด้วยเหตุผลใหญ่ๆ คือ แม่ต้องเลี้ยงน้องที่กำลังจ ะคลอดออกมา ซึ่งเป็นงานที่เหนื่อยหนักแ ละใช้เวลามาก คุณพ่อก็กำลังจะเปลี่ยนงาน คุณแม่ต้องเลี้ยงน้องกับหนู คนเดียว แม่เลยตัดสินใจส่งหนูเข้าโร งเรียน
และแม่ก็คิดว่าแม่คงไม่มีเว ลาอ่านนิทาน หรือนั่งเล่นเพื่อส่งเสริมพ ัฒนาการให้หนูเหมือนเมื่อวั นก่อนๆ ถ้าหนูได้ไปอยู่กับคุณครู คุณครูจะได้ช่วยให้ความรู้ใ นส่วนที่แม่ทำให้ได้ไม่เต็ม ที่นี้กับหนูได้
แม่เกรงว่าช่วงเวลาที่ขาดหา ยไปของหนูจะเป็นช่วงเวลาอัน สูญเปล่า เพราะเวลาที่ผ่านไปแต่ละวัน ของลูกนั้นสำคัญมาก เป็นช่วงเวลาทองเลยก็ว่าได้
ครั้งที่หนึ่งที่แม่ไปขอคุณ ครู คุณครูปฏิเสธบอกว่ารับหนูเข ้าเรียนไม่ได้ เพราะหนูยังอ่อนมาก อายุน้อยกว่าเพื่อนไปหลายเด ือนมากๆ ที่โรงเรียนพออนุโลมให้ได้ค ือไม่เกินครึ่งเดือนหรืออย่ างมากที่สุดก็ไม่เกินหนึ่งเ ดือน และไม่ใช่เพราะว่าโรงเรียนไ ม่ชอบเด็กเล็ก แต่เพราะสงสารตัวหนูที่จะต้ องปรับตัวเข้ากับเพื่อนๆ และโรงเรียน และถ้าหนูเล็กมากก็อาจจะเป็ นภาระของคุณครูด้วย
แต่คุณแม่เชื่อมั่นในตัวหนู มาก แม่คิดว่าถ้าแม่ไม่เชื่อมั่ นในตัวลูก แล้วจะให้คนอื่นมาเชื่อมั่น ในตัวลูกของแม่ได้ยังไง
แม่ให้เหตุผลคุณครูไปว่าหนู เก่งมาก ดูแลตัวเองได้ เลิกขวดนมแล้ว เลิกแพมเพิร์สแล้ว บอกเรื่องการขับถ่ายได้แล้ว
แต่คุณครูก็ปฏิเสธ แม่กลับบ้านมาด้วยความเศร้า ...
"ก้าวแรกสู่โรงเรียนอนุบาล"
เมื่อแม่หาข้อมูลอย่างมากมา
...
แม่จำได้ว่าตอนนั้นแม่ใกล้จ
แม่เข้าไปดูก็ประทับใจตั้งแ
แต่...อายุของหนูยังไม่ถึงเ
แม่อยากให้หนูเข้าเรียนมาก ด้วยเหตุผลใหญ่ๆ คือ แม่ต้องเลี้ยงน้องที่กำลังจ
และแม่ก็คิดว่าแม่คงไม่มีเว
แม่เกรงว่าช่วงเวลาที่ขาดหา
ครั้งที่หนึ่งที่แม่ไปขอคุณ
แต่คุณแม่เชื่อมั่นในตัวหนู
แม่ให้เหตุผลคุณครูไปว่าหนู
แต่คุณครูก็ปฏิเสธ แม่กลับบ้านมาด้วยความเศร้า
ตอนที่ ๓
"อย่าเพิ่งละความพยายาม"
แต่...แม่ไม่ถอย แม่ไปคุยกับพี่คนที่แนะนำให ้แม่รู้จักกับโรงเรียนนี้แล ะบอกว่าอยากให้ลูกเข้าเรียน มากแต่คุณครูยังไม่รับ เพราะอายุน้อยเกิน พี่เขาใจดีมากบอกว่าจะไปช่ว ยพูดกับคุณครูให้
...
ครั้งที่สองก็ไปโรงเรียนอีก ครั้ง โดยมีพี่ใจดีคนนี้ไปด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ คุณครูก็ยังย้ำคำเดิมว่าน้อ งอ่อนเกินไป แม้คุณแม่จะย้ำเหมือนเดิมว่ าหนูเก่งมาก เรียนรู้ได้เร็ว ช่วยเหลือตัวเองได้ ความจำดีเลิศก็ตาม แล้วคุณแม่ก็ต้องกลับบ้านโด ยที่หนูยังไม่ได้เข้าเรียน
วันที่น้องหนูจะได้ลืมตาดูโ ลกก็ใกล้เข้ามาทุกที แม่ได้แต่นั่งคิดว่าจะทำยัง ไงดี ขณะที่นั่งอยู่หน้าจอคอมฯ ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามา
ถ้ายังพยายามไม่ถึงที่สุด อย่าเพิ่งละความพยายาม
แม่จึงตัดสินใจเขียนจดหมายถ ึงคุณครูเจ้าของโรงเรียน เพราะขณะนั้นคุณครูไม่เข้าโ รงเรียน เพราะอยู่ในช่วงลาคลอด เบอร์โทรศัพท์ที่แอบได้มาก็ ไม่กล้าโทร.ไป เพราะรู้ดีว่าคุณแม่ที่เพิ่ งคลอดน้องใหม่ๆ ยุ่งและเหนื่อยแค่ไหน แม่ไม่มีแม้แต่เบอร์อีเมลขอ งคุณครู
สุดท้ายก็คิดออกว่าควรเข้าไ ปฝากข้อความไว้ใน “ติดต่อเรา” ในหน้าเว็บไซต์ของโรงเรียน เมื่อคิดวิธีการได้ คุณแม่ก็เริ่มลงมือปฏิบัติก ารทันที
แม่เริ่มนั่งเขียนจดหมายจาก ใจจริง เล่าเหตุผลต่างๆ นานาว่าแม่จำเป็นแค่ไหนที่จ ะให้หนูได้เข้าเรียน เหตุผลที่แม่เลือกโรงเรียนน ี้ให้ลูกเล่าถึงความมุ่งมั่ นที่แม่อยากให้ลูกได้เรียนใ นโรงเรียนแห่งนี้ และเล่าถึงความใฝ่ฝันสูงสุด ถึงโรงเรียนประถมที่จะให้หน ูไปเข้าเรียน
หลังจากที่แม่ส่งจดหมายฉบับ นั้นไปแล้ว หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ไม่มีการตอบกลับ แม่นั่งลุ้นต่อไปทุกวัน
แล้วเย็นวันหนึ่งเสียงโทรศั พท์จากสวรรค์ก็ดังขึ้น
“คุณแม่น้องทอฝันใช่ไหมคะ จากโรงเรียนอนุบาล...ค่ะ”
รู้ไหมว่าวินาทีนั้น แม่รู้สึกยังไง แทบจะกระโดดตัวลอย แต่ติดที่แม่เพิ่งคลอดน้องไ ด้ไม่กี่วัน แม่เลยกระโดดไม่ได้ แม่ดีใจมาก ดีใจมากที่สุด คุณครูโทร.มาบอกให้คุณแม่พา หนูไปสมัครเรียน แล้วในที่สุดแม่ก็ได้พาหนูไ ปสมัครเรียนจริงๆ
เมื่อคุณแม่ได้เจอคุณครูอีก ครั้งเป็นครั้งที่สาม วันนั้นเป็นวันที่แม่คลอดน้ องได้เก้าวันพอดี คุณครูพูดล้อคุณแม่ว่า
“เอาจนได้เลยนะ คุณแม่ คุณครูจะจำชื่อน้องไปจนวันเ กษียณเลย”
ตอนนั้นแม่ดีใจมาก ดีใจยิ่งกว่าตัวเองสอบเข้าม หาวิทยาลัยได้เสียอีก คุณแม่ได้พาหนูไปมอบตัวและจ ่ายเงินค่าเทอม รับชุดนักเรียน
ชีวิตในรั้วโรงเรียนอนุบาลข องหนูก็เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ วันนั้น...
"อย่าเพิ่งละความพยายาม"
แต่...แม่ไม่ถอย แม่ไปคุยกับพี่คนที่แนะนำให
...
ครั้งที่สองก็ไปโรงเรียนอีก
วันที่น้องหนูจะได้ลืมตาดูโ
ถ้ายังพยายามไม่ถึงที่สุด อย่าเพิ่งละความพยายาม
แม่จึงตัดสินใจเขียนจดหมายถ
สุดท้ายก็คิดออกว่าควรเข้าไ
แม่เริ่มนั่งเขียนจดหมายจาก
หลังจากที่แม่ส่งจดหมายฉบับ
แล้วเย็นวันหนึ่งเสียงโทรศั
“คุณแม่น้องทอฝันใช่ไหมคะ จากโรงเรียนอนุบาล...ค่ะ”
รู้ไหมว่าวินาทีนั้น แม่รู้สึกยังไง แทบจะกระโดดตัวลอย แต่ติดที่แม่เพิ่งคลอดน้องไ
เมื่อคุณแม่ได้เจอคุณครูอีก
“เอาจนได้เลยนะ คุณแม่ คุณครูจะจำชื่อน้องไปจนวันเ
ตอนนั้นแม่ดีใจมาก ดีใจยิ่งกว่าตัวเองสอบเข้าม
ชีวิตในรั้วโรงเรียนอนุบาลข
ตอนที่ ๔ "น้ำตาตกใน"
เดือนตุลาคม ช่วงใกล้เปิดเทอม คุณครูให้หนูไปปรับตัวที่โร งเรียน หนูไม่ร้องไห้เลยแม้แต่นิดเ ดียว สองวันแรกคุณพ่อไปอยู่ด้วยท ั้งวัน และวันต่อๆ มาก็เริ่มถอยห่าง หนูสามารถอยู่ได้ แม่ดีใจมากที่หนูปรับตัวได้
...
พอเปิดเทอมแม่ให้หนูขึ้นรถต ู้ไปโรงเรียน แล้วแม่ก็ต้องตกใจ พอรถตู้โรงเรียนมาจอดรับหน้ าบ้าน หนูร้องไห้จ้า ไม่อยากขึ้นรถตู้โรงเรียนเล ย แม่ใจเสียทันที แต่วันนั้นก็จำใจส่งหนูให้อ ยู่ในอ้อมกอดของครู และวันนั้นแม่ก็ไม่สบายใจไป ตลอดทั้งวัน
ภาพที่หนูร้องไห้จ้าเป็นภาพ ที่ติดตา ติดใจ และบีบหัวใจมากจริงๆ
วันที่สองแม่ก็ยังให้หนูขึ้ นรถโรงเรียนเหมือนเดิม หนูก็ร้องไห้เหมือนเดิม แม่ก็น้ำตาตกในเหมือนเดิม
วันที่สาม ที่หนักกว่านั้น พอหนูกลับมาบ้าน หนูไม่ร่าเริงเหมือนเดิม แถมตอนกลางคืนก็ละเมอร้องไห ้ตัวสั่น แม่กอดหนูไปร้องไห้ไป แม่บังคับหนูเกินไปหรือเปล่ า
วันต่อมาแม่จึงตัดสินใจไม่ใ ห้หนูขึ้นรถตู้ของโรงเรียนแ ล้ว ให้คุณพ่อหนูไปส่งแทน และแม่ก็อุ้มน้องตัวเล็กที่ คลอดมาไม่ถึงสองเดือนไปส่งด ้วยทุกวัน
ช่วงแรกๆ หนูก็ยังร้องมากถึงมากที่สุ ด คุณครูบอกว่าหนูยังเล็กมาก ต้องให้เวลาหนูอีกหน่อย
ยิ่งคุณครูย้ำคำว่าเล็กหรือ อ่อนมากเท่าไหร่ แม่ยิ่งรู้สึกผิดมากเท่านั้ น
แต่อีกใจหนึ่ง แม่คิดว่าเมื่อตัดสินใจเดิน มาทางนี้แล้ว ก็คงต้องเดินต่อไป แม่เอาใจช่วยหนูทุกวัน พูดคุยให้หนูปรับตัวได้ แม่เชื่อในตัวหนูมากว่า "หนูทำได้"
จนกระทั่งสองเดือนผ่านไป หนูถึงได้หยุดร้องไห้
ชีวิตในรั้วโรงเรียนของหนูเ ป็นไปอย่างร่าเริงสนุกสนาน และมีความสุขกับการไปโรงเรี ยน หนูได้เรียนชั้นเตรียมอนุบา ลกับเพื่อนๆ ตอนนั้น ในใจแม่ก็คิดต่อว่า ปีการศึกษาหน้าจะให้หนูขึ้น อนุบาลหนึ่งยังไงดี เพราะคุณครูยังไม่เลิกย้ำคำ ว่าเล็กหรืออ่อนของหนูเลย แต่แม่กลับไม่คิดอย่างนั้น ทุกอย่างอยู่ที่ตัวหนู และแม่ก็รู้จักหนูดีที่สุด แม่รู้ว่าอะไรบ้างที่หนูทำไ ด้ดี และแม่เชื่อว่าหนูทำได้ดีไม ่แพ้เพื่อนๆ ในห้องเดียวกัน
และแม่ก็เชื่อว่าคำว่าอายุน ้อยไม่ใช่อุปสรรคของการเรีย นรู้เลย เราเรียนรู้ได้เท่ากัน อาจจะมีแค่เรื่องกล้ามเนื้อ มือที่ยังแข็งแรงไม่เท่า แต่แม่ก็เชื่อว่าสิ่งนี้จะพ ัฒนาขึ้นได้ตามลำดับ
แม่ไม่เคยเชื่อว่าความเก่งจ ะต้องเป็นไปตามอายุ มันผกผันได้ แม่เชื่ออย่างนี้มาตลอด ความคิดแม่กบฏไหม...
แม่อยากฝากหนูไว้ว่า เมื่อโตขึ้นแม่อยากให้หนูเช ื่อในตัวเอง ซึ่งต่างกับเชื่อมั่นในตัวเ องนะ แม่อยากให้หนูเชื่อในตัวเอง ว่าหนูทำได้ หนูมีความสามารถ เชื่อว่าหนูมีสิทธิ์ที่จะปร ะสบความสำเร็จ แล้วลงมือทำให้เต็มที่ ถ้ายังไม่เต็มที่ อย่าเพิ่งเลิกทำ
การลงมือทำอย่างเต็มที่มีพล ังอย่างมาก มันจะทำให้จิตใจของหนูเปี่ย มไปด้วยพลัง และความเชื่อที่ไม่มีอะไรมา สั่นคลอนได้ จะทำให้เราทำสิ่งนั้นให้มัน เป็นจริง
เดือนตุลาคม ช่วงใกล้เปิดเทอม คุณครูให้หนูไปปรับตัวที่โร
...
พอเปิดเทอมแม่ให้หนูขึ้นรถต
ภาพที่หนูร้องไห้จ้าเป็นภาพ
วันที่สองแม่ก็ยังให้หนูขึ้
วันที่สาม ที่หนักกว่านั้น พอหนูกลับมาบ้าน หนูไม่ร่าเริงเหมือนเดิม แถมตอนกลางคืนก็ละเมอร้องไห
วันต่อมาแม่จึงตัดสินใจไม่ใ
ช่วงแรกๆ หนูก็ยังร้องมากถึงมากที่สุ
ยิ่งคุณครูย้ำคำว่าเล็กหรือ
แต่อีกใจหนึ่ง แม่คิดว่าเมื่อตัดสินใจเดิน
จนกระทั่งสองเดือนผ่านไป หนูถึงได้หยุดร้องไห้
ชีวิตในรั้วโรงเรียนของหนูเ
และแม่ก็เชื่อว่าคำว่าอายุน
แม่ไม่เคยเชื่อว่าความเก่งจ
แม่อยากฝากหนูไว้ว่า เมื่อโตขึ้นแม่อยากให้หนูเช
การลงมือทำอย่างเต็มที่มีพล
ตอนที่ ๕ "ปรับใหม่หัวใจแม่"
การก้าวข้ามข้อจำกัดแรกคือก ารให้หนูได้เข้าเรียนในโรงเ รียนอนุบาลผ่านไปด้วยดี
...
ยังเหลือข้อจำกัดต่อมาคือ ทำยังไงจะให้หนูได้ขึ้นชั้น อนุบาลหนึ่งในปีการศึกษาถัด ไป ไม่ใช่ซ้ำอยู่ที่ชั้นเตรียม อนุบาลอีกปี หนูจะต้องขึ้นอนุบาลหนึ่งที ่อายุ ๒ ขวบ ๙ เดือน ดูท่าทางคุณครูคงไม่ยอมอีก เพราะยังไม่เต็มสามขวบ
แต่แม่ก็เชื่อมั่นมากว่าหนู ทำได้ แม่เชื่อว่าหนูเก่ง เพราะแม่อยู่กับหนูทุกวัน อ่านหนังสือให้ฟังทุกวัน และหนูก็เป็นเด็กที่มีสมาธิ ดีมาก มีความจำเป็นเลิศด้วย แม่จึงพยายามคิดหาวิธี
แล้วแม่ก็คุยกับคุณครูอีกคร ั้ง บางที คุณครูอาจจะเหนื่อยใจกับคุณ แม่คนนี้ก็ได้นะ แต่แม่ไม่ถอย แม่รู้ว่าแม่กำลังทำอะไร และแม่ก็รู้ว่าหนูเป็นยังไง เส้นทางมุ่งตรงสู่รั้วสาธิต เกษตรไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก หากได้เตรียมตัวและวางแผนอย ่างดีเสียตั้งแต่วันนี้
เมื่อไม่ลองก็ไม่รู้ เมื่อไม่พยายาม ก็ไม่เห็นผลของความพยายาม
แม่จึงพยายามคุยกับคุณครูอี กครั้ง แสดงเจตจำนงที่ชัดเจนของแม่ แม่ยอมรับในใจว่าถ้าแม่ทำดี ที่สุดแล้วไม่ได้ผล แม่ก็จะยอมรับ แต่ก่อนที่แม่จะยอมรับ แม่ขอทำทุกอย่างให้เต็มที่ก ่อนแล้วกัน
เหตุผลที่แม่ให้หนูเข้าเรีย นเร็วกว่าอายุ เพราะแม่อ่านเจอมาว่าสาธิตเ กษตรจะรับเด็กตามอายุ ไม่ใช่รับเด็กที่จบชั้นอนุบ าลสาม และเด็กแต่ละคนจะมีสิทธิ์สอ บสาธิตเพียงครั้งเดียวเท่าน ั้น
สำหรับเด็กที่จะไปสอบสาธิตเ กษตร มีเฉพาะเด็กที่เกิดวันที่ 15 ธันวาคม เท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์สอบได้สองครั้ ง
ปีที่หนูจะต้องไปสอบสาธิตเก ษตรคือปี ๒๕๕๗ ในปีนั้นเด็กที่ต้องไปสอบคื อเด็กที่เกิด ๑๕ ธ.ค. ๕๐ – ๑๕ ธ.ค. ๕๑ และแม่ได้คำนวณระยะเวลาแล้ว หนูต้องขึ้นอนุบาลหนึ่งในปี การศึกษา ๒๕๕๔ ไม่อย่างนั้น หนูจะต้องไปสอบตอนจบอนุบาลส อง ซึ่งแม่มองแล้วว่าจะเสียเปร ียบเด็กที่จบอนุบาลสามมาก เพราะเด็กอนุบาลสามจะพออ่าน ออกเขียนได้ และบวกลบเลขกันคล่องพอสมควร แล้ว
ถ้าหนูต้องไปสอบแข่งกับเด็ก อนุบาลสาม มีโอกาสน้อยมากที่หนูจะสอบไ ด้ แม่จึงต้องยืนยันกับคุณครูว ่าขอให้หนูได้ขึ้นอนุบาลหนึ ่ง แม้อายุจะไม่ถึง ๓ ขวบไป ๓ เดือนก็ตาม แม่รอลุ้นผลอยู่ทุกวันว่าคุ ณครูจะประชุมและตกลงกันว่าย ังไง
แม่รู้ว่าแม่ทำความลำบากใจใ ห้คุณครู เด็กแต่ละคนมีพัฒนาการที่แต กต่างกัน แม่ก็เชื่อเช่นนั้น แต่แม่ก็เชื่อว่าอายุไม่ใช่ ข้อจำกัดของการเรียนรู้เช่น กัน เด็กจะมีพัฒนาการที่ดีได้ ไม่ใช่เพราะมีอายุมากขึ้น แต่เพราะการใช้เวลาที่มีประ สิทธิภาพร่วมกันรวมถึงการกร ะตุ้นและส่งเสริมพัฒนาการขอ งพ่อแม่
ในช่วงปิดเทอมใหญ่ แม่ให้หนูไปเรียนซัมเมอร์ซึ ่งเป็นกิจกรรมเสริมพัฒนาการ ที่โรงเรียนด้วย เพื่อเพิ่มความคุ้นเคยกับเพ ื่อนๆ คุณครู และโรงเรียน แม่ก็จะได้เจอคุณครูทุกวัน แม่ไม่กล้าถามครูตรงๆ คุณครูก็ไม่บอก ไม่พูดอะไรเรื่องนี้เลย
แล้วเช้าวันหนึ่งคุณครูประจ ำชั้นเตรียมอนุบาลของหนูก็บ อกกับแม่ว่า “ปีหน้าน้องจะได้อยู่กับคุณ ครูอีก ๑ ปีนะคะ”
แม่ฟังตอนนั้นก็ได้แต่ยิ้มแ ห้งๆ แล้วกลับมานั่งทำใจที่บ้าน แล้วเริ่มปรับแผนใหม่ว่าจะใ ห้หนูพร้อมสอบสาธิตตอนอนุบา ลสองยังไงดี
แต่แล้ว พอเปิดเทอม แม่ไปดูรายชื่อเด็กอนุบาลหน ึ่งที่ติดอยู่ที่บอร์ดของโร งเรียน แม่ก็ต้องประหลาดใจ เพราะมีชื่อหนูอยู่ด้วย แม่ได้เจอคุณครูเจ้าของโรงเ รียน คุณครูบอกว่าให้ลองขึ้นชั้น อนุบาลหนึ่งดู เพราะลองทดสอบพัฒนาการดูแล้ ว หนูทำได้ แม่ดีใจมาก
แต่อีกใจก็แอบกังวลนิดๆ แม้ว่าแม่จะเชื่อมั่นว่าหนู ทำได้ก็ตาม แล้วแม่ก็อ่านชื่อคุณครูประ จำชั้น ปรากฏว่าเป็นคุณครูคนเดิมที ่เคยสอนชั้นเตรียมอนุบาลนั่ นเอง แม่เลยได้รู้ว่าคุณครูประจำ ชั้นของหนูแกล้งอำแม่ ที่คุณครูบอกว่าปีหน้าอยู่ก ับคุณครูอีกปีนั่นน่ะ ไม่ได้หมายความว่าอยู่ชั้นเ ตรียมอนุบาลอีกปี แต่หมายถึงคุณครูจะตามไปสอน อีกปีต่างหาก
แล้วในที่สุดแม่ก็ดีใจที่เป ็นไปตามแผนที่วางไว้ หนูได้ขึ้นชั้นอนุบาลหนึ่งใ นปีการศึกษาใหม่ เปิดเทอมใหม่หนูก็ยังร้องไห ้อยู่เหมือนเดิม แต่จะร้องแค่ช่วงเช้า หลังจากนั้นก็ทำกิจกรรมกับเ พื่อนได้ตามปกติ
ชีวิตในรั้วโรงเรียนอนุบาลข องหนูเข้าสู่ภาวะปกติในเวลา ไม่นาน ด้วยความเอาใจใส่ของคุณครูแ ละหลักสูตรที่บูรณาการอย่าง สร้างสรรค์ และไม่เร่งรัดความรู้ทางวิช าการจนเกินวัย ทำให้หนูได้เรียนรู้อย่างมี ความสุขและสนุกสนาน
จากอนุบาลหนึ่งขึ้นอนุบาลสอ ง และอนุบาลสาม และผลการเรียนทุกเทอมของหนู ก็ทำให้แม่แอบปลาบปลื้มใจไม ่น้อยเลย
การก้าวข้ามข้อจำกัดแรกคือก
...
ยังเหลือข้อจำกัดต่อมาคือ ทำยังไงจะให้หนูได้ขึ้นชั้น
แต่แม่ก็เชื่อมั่นมากว่าหนู
แล้วแม่ก็คุยกับคุณครูอีกคร
เมื่อไม่ลองก็ไม่รู้ เมื่อไม่พยายาม ก็ไม่เห็นผลของความพยายาม
แม่จึงพยายามคุยกับคุณครูอี
เหตุผลที่แม่ให้หนูเข้าเรีย
สำหรับเด็กที่จะไปสอบสาธิตเ
ปีที่หนูจะต้องไปสอบสาธิตเก
ถ้าหนูต้องไปสอบแข่งกับเด็ก
แม่รู้ว่าแม่ทำความลำบากใจใ
ในช่วงปิดเทอมใหญ่ แม่ให้หนูไปเรียนซัมเมอร์ซึ
แล้วเช้าวันหนึ่งคุณครูประจ
แม่ฟังตอนนั้นก็ได้แต่ยิ้มแ
แต่แล้ว พอเปิดเทอม แม่ไปดูรายชื่อเด็กอนุบาลหน
แต่อีกใจก็แอบกังวลนิดๆ แม้ว่าแม่จะเชื่อมั่นว่าหนู
แล้วในที่สุดแม่ก็ดีใจที่เป
ชีวิตในรั้วโรงเรียนอนุบาลข
จากอนุบาลหนึ่งขึ้นอนุบาลสอ
ตอนที่ ๖ "เสริมสื่อที่สร้างสรรค์"
ช่วงอนุบาลหนึ่งแม่ยังไม่ “ติว” คือยังไม่ได้ให้ทำแบบฝึกหัด
...
ทีวี สื่อเทคโนโลยีต่างๆ ปิดทั้งหมด แม่กับพ่อขัดแย้งกันหลายครั
แม่ให้เหตุผลว่ามันทำลายสมา
หลังจากแม่ยืนยันหนักแน่นมา
แม่เลี้ยงหนูด้วยหนังสือ ตัวต่อ จิ๊กซอว์ ดินสอสี กระดาษ และซีดีเพลงมาโดยตลอด ไม่เคยเลี้ยงด้วยทีวี เกม และสื่อเทคโนโลยีอะไรเลย แม่เชื่อว่าเมื่อหนูโตขึ้น มีปัญญามากขึ้น หนูจะสามารถใช้เทคโนโลยีอย่
แม่เคยอ่านบทความชิ้นหนึ่ง เป็นของคุณสรวงมณฑ์ สิทธิสมาน แม่จำใจความสำคัญได้ว่า เราควรให้เทคโนโลยีเป็นหลัง
และเสาเข็มที่แม่จะลงมือลงแ
ผลที่เกิดในวันนี้เป็นสิ่งท
อนุบาลหนึ่งผ่านไป ผลการเรียนของหนูถือว่าดีมา
และเมื่อหนูขึ้นอนุบาลสอง หนูยังเขียนไม่คล่องเพราะกล
แม้หนูจะยังเขียนไม่เป็น เขียนไม่ได้ แม่ก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว เพราะแม่รู้ว่าเดี๋ยวหนูก็จ
อนุบาลสองของหนู แม่เริ่มเอาแบบฝึกหัดง่ายๆ มาให้หนูทำ หนูทำได้และสนุกมากด้วย ทำกันทุกวันหลังจากทำการบ้า
ในช่วงนี้อะไรที่ทำลายสมองข
แม่จึงเน้นนิทานและเพลง แม่ทั้งอ่านนิทานและร้องเพล
ในปีนี้แม่ยังให้หนูได้เรีย
แม่ยังอ่านเจอมาว่าสมองส่วน
แม้จะมีบางเสียงบอกแม่ว่า เด็กตัวแค่นี้ให้เรียนอะไรเ
แม่รู้ว่าแม่กำลังทำอะไร และทำเพื่อใคร แม่จึงไม่สนใจเสียงเหล่านั้
ที่สำคัญการเรียนดนตรีไม่ใช
ส่วนการเรียนภาษาอังกฤษนั้น
และแม่ก็อ่านพบมาอีกว่า การเรียนภาษา ยิ่งเรียนตอนอายุน้อยเท่าไห
นับเป็นเรื่องง่ายและเป็นไป
ตอนที่ ๗ "ท้อแท้แต่ไม่ถอย"
ในช่วงอนุบาลสองนี้ แม่เริ่มให้หนูทำแบบฝึกหัด ควบคู่ไปกับกิจกรรมการเล่นต่อจิ๊กซอว์ ต่อบล็อก โดมิโน ร้อยลูกปัด แกะกล่อง พับกระดาษ-ตัดกระดาษ ทดลองเรื่องระดับน้ำ ปริมาณน้ำ แสง-เงา ฯลฯ เพ...ื่อให้หนูได้สัมผัสกับของจริงมากที่สุด เพราะการเรียนรู้ที่สนุกสนานและอยู่ในความทรงจำของเด็กไปตลอดคือ การลงมือทำและการได้สัมผัสของจริง
นอกจากนี้แม่ก็พาไปเที่ยวทุกที่ ทะเล ป่าเขา พิพิธภัณฑ์ ตลาด วัด ห้างสรรพสินค้า นั่งรถไฟฟ้าทั้งรถไฟลอยฟ้า รถไฟใต้ดิน หัดดูสัญญาณไฟจราจร รถชนิดต่างๆ บนท้องถนน ทุกสิ่งทุกอย่างคือความรู้ที่แม่นำมาสอนให้หนูได้รู้จักสังเกตและเป็นความรู้ทั้งหมด
อนุบาลสองผ่านไป หนูมีความสุขและสนุกกับการเรียนรู้มากขึ้น และแม่ก็ปลื้มใจที่หนูจบชั้นอนุบาลสองมาได้ด้วยดี
ในช่วงท้ายปี แม่ได้ข้อมูลด้านลบของโรงเรียนสาธิตเกษตรมาหลายแบบ จนใจฝ่อห่อเหี่ยว และเริ่มเขว แต่แม่ไม่ถอย แม่ต้องรู้ความจริงให้ได้
ข้อมูลที่แม่ได้มาคือ สอบเข้ายากมากแทบไม่มีเปอร์เซ็นต์ที่จะสอบได้ และเข้าไปแล้วก็ต้องจ่ายแพงมาก บางคนจ่ายเจ็ดหลักลูกก็ยังไม่ได้เรียน บางคนไปช่วยงานโรงเรียนอยู่หลายปีลูกก็ไม่ได้เรียน บางคนสอบได้คะแนนสูงแต่ก็ไม่มีชื่อติดบอร์ด บางคนบริจาครถตู้เป็นคันๆ บางคนจ่ายล่วงหน้าเป็นหลักล้าน ฯลฯ แม่ไม่รู้เลยว่าข้อมูลเหล่านี้จริงเท็จแค่ไหน
แม่ได้ข้อมูลมาแบบนี้ แม่มึนงงมาก แล้วข้อมูลดีๆ ที่แม่เคยได้มาล่ะ ลูกเรียนแล้วมีความสุข ฝึกความเป็นผู้นำ-ผู้ตาม พัฒนาเด็กอย่างรอบด้าน เพื่อนดี สังคมดี คุณครูดี สภาพแวดล้อมดี มีความปลอดภัย ฝึกให้เด็กคิดเป็น กล้าคิดกล้าแสดงออก มีความมั่นใจในตัวเอง กล้าถามกล้าตอบ ไม่เน้นวิชาการมาก เรียนรู้คู่กิจกรรม มีคุณธรรมและจริยธรรม ฯลฯ และอันนี้มันจริงด้วยไหม
แม่ลืมบอกไปว่า ข้อมูลด้านดีเหล่านี้ แม่ได้มาจากคุณแม่ใจดีท่านหนึ่งที่มีลูกสองคนเรียนอยู่สาธิตเกษตร เด็กสองคนนี้เป็นเด็กที่น่ารักมาก เป็นเด็กหัวดี มารยาทดี มีความมั่นใจในตัวเอง แม่จึงอยากให้ลูกของแม่ได้เข้าเรียนในสถานศึกษาดีๆ แบบนี้บ้าง
ตอนนั้น แม่ยอมรับว่าแม่เครียด ไม่รู้จะเริ่มจากจุดไหน เข้าไปตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ยอดฮิตถามพ่อแม่ที่ลูกเรียนอยู่สาธิตเกษตรก็ไม่ค่อยได้คำตอบเลย
ตามความเข้าใจของแม่ แม่คิดมาโดยตลอดว่า โรงเรียนดังขนาดนี้ เขาจะไม่รักษาจริยธรรมเลยหรือ จะรับเด็กที่พ่อแม่มีเงินล้านเท่านั้นหรือไง แล้วปีหนึ่งๆ ที่จัดสอบปีละสามสี่พันคนเพื่ออะไร ถึงอย่างไรเขาก็ต้องมีจริยธรรมสิ ไม่อย่างนั้นพ่อแม่จะทุ่มเทพาลูกเข้าไปเรียนทำไม และจะยอมจ่ายกันเป็นล้านไปเพื่ออะไร ถ้าโรงเรียนไม่มีอะไรดี
ในที่สุด แม่ก็โชคดีมาก ที่ทำงานของคุณพ่อมีพนักงานเข้าใหม่คนหนึ่ง หลังจากทำความรู้จักคุ้นเคยกันดีแล้ว คุณพ่อก็ได้ทราบว่า น้องเขารู้จักกับคุณแม่ท่านหนึ่งที่มีลูกสอบเข้าสาธิตเกษตรได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ใช้เส้นสายที่เล่าลือกันว่ามี และไม่ใช้โควต้าบุคลากรหรือโควต้าสวัสดิการใดๆ แม่ให้คุณพ่อขอเบอร์โทร.มาทันที แล้วแม่ก็ได้คุย
แม่ได้รู้ความจริงในที่สุดว่า เด็กที่สอบได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งบารมีของใคร มีตัวตนอยู่จริงๆ
ในแต่ละปีจำนวนเด็กที่รับเข้าเรียนทั้งหมดคือ ๒๘๐ คน แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่มอย่างชัดเจน คือเด็กที่สอบได้เอง ๑๓๐ คน และเด็กที่เป็นโควต้าของบุคลากรภายในมหาวิทยาลัย และผู้มีอุปการคุณผู้ทำประโยชน์ใหักับโรงเรียนอีก ๑๕๐ คน
กลุ่มเด็กที่สอบได้เองนี้มีจริงๆ และใช้ความสามารถของตัวเองล้วน ๆ ส่วนเด็กในกลุ่ม ๑๕๐ คน จะแบ่งสัดส่วนออกเป็นลูกของบุคลากรภายในมหาวิทยาลัยและผู้มีอุปการคุณตามการพิจารณาของโรงเรียน
ในกลุ่มผู้มีอุปการคุณนี้เองที่เราได้ยินมาอย่างหนาหูว่า จ่ายเป็นล้าน บริจาครถตู้เป็นคัน สร้างอาคารเป็นหลัง ช่วยงานโรงเรียนทุกงาน บริจาคเงินทุกรอบ อะไรทำนองนี้ ซึ่งเป็นข่าวลือที่เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าจริงหรือไม่จริง
แต่ไม่น่าเชื่อว่า มันบั่นทอนกำลังใจของแม่ได้จริง
คุณแม่ใจดีท่านนี้ที่แม่คุยด้วยยังบอกด้วยว่า ค่าเทอมที่นี่ถูกมากเมื่อเทียบกับโรงเรียนอื่นๆ ถ้าได้เรียนถือว่าคุ้มมาก และได้เรียนยาวไปจนถึงม.๖ แถมยังมีโควต้ารับตรงเข้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อีกด้วย
และเนื่องจากค่าเทอมไม่แพง ทางโรงเรียนจึงจำเป็นต้องมีพ่อแม่ผู้ปกครองผู้มีอุปการคุณที่คอยให้การสนับสนุน เพื่อที่ทางโรงเรียนจะได้นำปัจจัยที่ได้เหล่านี้มาพัฒนาการศึกษา และพัฒนาโรงเรียนให้ดีขึ้น แม่จึงได้เข้าใจแจ่มแจ้ง และกลับมามองโรงเรียนในแง่ดีและศรัทธาโรงเรียนนี้ยิ่งขึ้นกว่าเดิม
นอกจากนี้คุณแม่ท่านนี้ยังบอกวิธีการเตรียมตัวลูกอีกมากมายให้แม่นำมาปรับใช้ แม่ดีใจมาก รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที แล้วแม่ก็วางแผนเป็นขั้นเป็นตอน ตั้งเป้าและปักธงที่สาธิตเกษตรแน่นขึ้น
ใครถามว่าหนูจะไปสอบเข้าป.๑ ที่ไหน แม่จะตอบแบบมั่นใจทุกครั้งว่าสาธิตเกษตร ปฏิกิริยาที่แม่ได้รับก็จะแตกต่างกันไป แต่ขอย้ำว่าแม่รู้ดีว่าแม่กำลังทำอะไรและเพื่อใคร
ตอนที่ ๘ "เรียนเสริมบ่ายวันเสาร์"
เข้าสู่อนุบาลสาม แม่ตามล่าหาหนังสือแบบฝึกหัดแทบทุกเล่มที่มีในร้านหนังสือ แล้วคัดเลือกเรื่องที่จะ...สอน เรียงลำดับจากง่ายไปยาก เริ่มสอนลูกเรื่องง่ายๆ ก่อน และค่อยขยับไปเรื่องยากตามลำดับ
ปีนี้เมื่อแม่หาข้อมูลมากขึ้นว่าจะติวหนูยังไงดี แม่ก็เริ่มเครียดอีกว่าจะติวอะไร ยังไง ข้อสอบเป็นประมาณไหน ติวถูกทางหรือเปล่า แล้วแม่ก็มึนๆ อีกครั้ง
จนกระทั่งเปิดอินเทอร์เน็ตไปเจอครูติวท่านหนึ่งในเว็บไซต์ momypedia.com อ่านไปอ่านมา ก็ตัดสินใจทันทีว่า ส่งไปติวดีกว่า เพราะ
๑. จะได้รู้แนวทางว่าจะต้องติวอะไรให้หนู
๒. หนูจะได้เจอเพื่อนๆ ที่ต้องไปปฏิบัติภารกิจเหมือนๆ กันกับหนู
๓. แม่ก็จะได้คุยกับคุณครูและพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีอุดมการณ์เดียวกันด้วย
แล้วแม่ก็ส่งหนูไปเรียน (อีกแล้ว) แต่คราวนี้เป็นการเรียนเสริมบ่ายวันเสาร์ ครั้งละ ๒ ชั่วโมง คุณพ่อเริ่มบ่น แต่แม่ไม่พูดอะไรมาก ความหมายก็คือ ไม่ต้องเข้าใจ แค่ตามใจคอยไปรับ-ส่งก็พอ
ชีวิตเสาร์อาทิตย์ของครอบครัวเราจึงมีตารางกิจกรรมเพิ่มขึ้น เช้าวันเสาร์เรียนดนตรี บ่ายเรียนเตรียมความพร้อม ส่วนช่วงเช้าวันอาทิตย์เรียนภาษาอังกฤษ เราไปไหนไปกันแบบนี้ตลอดทั้งปี จนมันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่คุ้นเคยและสนุกสนาน
การเรียนเสริมบ่ายวันเสาร์ได้ผลดีจริงๆ เพราะทำให้แม่รู้ว่าหนูยังอ่อนอะไร ไม่ได้อะไรบ้าง และควรเสริมอะไรต่อ คุณครูสอนความรู้ให้หนูได้ดีจริงๆ ช่วยสอนให้หนูคิดเป็น แถมยังได้ลองสนามสอบจำลองที่มีประโยชน์มาก และแม่ก็ยังได้รู้จักเพื่อนร่วมทางอีกหลายคนด้วย
ในสนามสอบจำลองทำให้แม่ได้รู้จุดอ่อนที่ควรแก้ไขและข้อควรระมัดระวังมากขึ้น เด็กหลายคนมีสมาธิดีแค่ในช่วงครึ่งแรก แต่ช่วงครึ่งหลังสมาธิหลุด และมีหลายคนที่อ่านออกเขียนได้คล่องก็มักจะไม่รอฟังคำสั่งของครู โดยจะอ่านเองและทำล่วงหน้าไปก่อน ทำให้กาผิดข้อ บางคนก็ดูข้อไม่ดี กาผิดข้อไปก็มี หรือบางคนใส่ชุดใหม่มาสอบ นั่งเล่นลูกปัดที่ชุดก็มี
การให้ลูกได้ลองสนามสอบจำลอง จึงทำให้เห็นจุดอ่อนของลูก และแก้ไขจุดอ่อนนั้นได้ก่อนที่จะลงสนามสอบจริง
แม่ได้อ่านข้อมูลเรื่องการติวจากเว็บไซต์หนึ่ง ทำให้แม่รู้ว่า ผู้ปกครองบางคนเอาจริงเอาจังมาก ให้ลูกไปติวมากกว่า ๑ ที่ บางคน ๒ ที่ บางคนติวสูงสุดถึง ๔ ที่ แม่อ่านด้วยความอัศจรรย์ใจในความทุ่มเทเหล่านั้น แล้วแม่ก็ได้แต่รำพึงออกมาว่า “เขาทุ่มเทกันขนาดนี้เลยนะ”
แล้วแม่ก็อ่านข้อความต่อไป เขาบอกต่ออีกว่า... แต่ก็ใช่ว่าติวเยอะๆ แล้วจะเป็นเครื่องรับประกันว่าสอบได้ บางคนติวหลายที่แต่สอบไม่ได้ก็มี บางคนติวที่เดียวสอบได้ก็มี บางคนไม่ส่งติวเลยพ่อแม่สอนเองสอบได้ก็มี แม่ฟังแล้วก็อึ้ง แต่แม่ก็เชื่อมั่นว่า ติวกับแม่นี่แหละดีที่สุด เพราะแม่รู้จักลูกดีที่สุด และแม่ก็รู้ว่าลูกได้อะไรและยังไม่ได้อะไร
นอกจากนี้คุณครูเจ้าของโรงเรียนอนุบาลของหนูยังเมตตา เปิดสอนคอร์สสอนพ่อแม่เพื่อติวให้ลูก เดือนละครั้ง คุณครูทุ่มเทมากๆ แม้คุณครูจะมีลูกเล็กแต่ก็ปลีกเวลามาสอนให้กับพ่อแม่ที่สนใจ
แม่ไปเรียนทุกครั้ง ยกเว้นครั้งสุดท้ายที่แม่ติดธุระจริงๆ ไม่สามารถไปเรียนได้ แม่ได้ความรู้และข้อคิดในการสอนลูกมามากมาย ทั้งเทคนิคในการสอนเชาวน์ การสอนเลข และการสอนภาษาไทย
นอกจากนี้แล้วแม่ยังได้ข้อมูลมาจากเว็บไซต์ momypedia อีกว่า มีครูติวใจดีท่านหนึ่งแถวแจ้งวัฒนะจัดคอร์สแบ่งปันขึ้น เป็นคอร์สที่ติวให้ฟรี ๓ ครั้งช่วงปิดเทอมเดือนตุลาคม ทางคุณครูจัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่สี่แล้ว แต่ต้องไปทดสอบความพร้อมเพื่อคัดเลือกก่อน แม่จึงพาหนูไปทดสอบ ปรากฏว่าหนูสอบผ่านและได้เรียนฟรี ๓ ครั้ง
จากการเรียนกับคุณครูที่แจ้งวัฒนะ ทำให้แม่รู้มากขึ้นว่าหนูอ่อนอะไร และต้องเสริมจุดไหนเพิ่มเติม คุณครูอธิบายและให้คำแนะนำมาดีมาก
กิจกรรมการเตรียมความพร้อมให้หนูมีขึ้นทุกวันเป็นประจำสม่ำเสมอไม่เคยขาด กลับจากโรงเรียนหลังจากทำการบ้านแล้วเราก็จะมานั่งทำแบบฝึกหัดกัน วันละประมาณ ๑ ชั่วโมงก่อนออกไปวิ่งเล่น
แม่เชื่อว่าการฝึกทำแบบฝึกหัดบ่อยๆ เป็นประจำสม่ำเสมอ จะช่วยให้หนูคุ้นเคยกับการทำข้อสอบ เพิ่มความเชี่ยวชาญ พัฒนาการคิด ให้คิดเป็นขั้นเป็นตอน คิดเชื่อมโยงได้ คิดแยกแยะเป็น พลิกแพลงได้ ใช้เหตุผลในการคิด และการทำแบบฝึกหัดทุกวันยังเป็นการช่วยฝึกวินัยให้หนูด้วย
แม่เชื่อว่า ถ้าหากหนูจะสอบไม่ติดสาธิตเกษตร แต่ความรู้และกระบวนการเหล่านี้จะติดตัวหนูไปตลอด ไม่ว่าหนูจะได้เรียนที่ไหนก็ตาม
แม่ไม่เสียดายเวลาที่เราติวกันนี้เลย แต่กลับมีความสุขที่ได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก และลูกก็สนุกด้วยที่ได้ทำแบบฝึกหัดที่ท้าทายกับแม่
ตอนที่ ๙ "สอบจริงในสนามซ้อม"
ในช่วงปีนี้ นอกจากจะนั่งทำแบบฝึกหัดอยู่บ้านแล้ว แม่ยังให้หนูได้ไปลองสนามสอบด้วย เพื่อดูว่าถ้าหนูต้องไปสอบกับเพื่อนๆ เยอะแยะมากมาย หนูจะเป็นยังไง จะตื่นสนามไหม
สนามแรกที่แม่เลือกค...ือ สนามสอบพรีเทสสาธิตประสานมิตร จัดสอบช่วงเดือนพฤศจิกายน สนามนี้มีนักเรียนไปสอบประมาณ ๓,๐๐๐ คน ข้อสอบจะเน้นการคิดและจับใจความ คะแนนที่ได้ก็อาจจะพอวัดได้ในระดับหนึ่ง
วันที่หนูไปสอบแม่ก็ตื่นเต้นพอๆ กับวันสอบจริง และรอลุ้นผลไม่ต่างกัน วันที่ไปสอบคนเยอะมากจริงๆ แต่สิ่งที่แม่พอใจมากที่สุดกลับไม่ใช่ผลสอบ ลูกของแม่กล้าที่จะเดินเข้าไปสอบกับเพื่อนๆ โดยไม่งอแงร้องไห้ และเดินไปเข้าห้องสอบอย่างมั่นใจ แม่อยากบอกว่าแม่ภูมิใจมาก
แล้ววันที่ผลสอบออกก็มาถึง แม่รีบเปิดดูผลทางอินเทอร์เน็ตแต่เช้า ที่นี่จะบอกคะแนนที่เป็นคะแนนที-สกอร์สูงสุด กับต่ำสุด บอกคะแนนกับลำดับที่ที่หนูสอบได้ หนูสอบได้ ๖๑.๗๘๙๐๑ คะแนน ได้ลำดับที่ ๑๗๔ จากคะแนนสูงสุด ๖๙.๘๔๒๖๙ และคะแนนต่ำสุด ๓๒.๐๙๑๐๐
จะเห็นว่าจุดทศนิยมเยอะมาก แม่เคยอ่านเจอว่า เวลาสอบจริงเด็กบางคนสอบไม่ได้ ก็ตัดกันตรงจุดทศนิยมสองตัวหลังนี่เอง แม่จึงคิดว่าการกาผิด ๑ ข้อมีผลมาก สามารถทำให้เด็กสอบติดและไม่ติดได้
คะแนนพรีเทสของหนูถือว่าอยู่ในระดับที่มีลุ้นสำหรับแม่ ทำให้แม่มีความหวังมากขึ้น แต่ก็ต้องมาฝึกหนูมากขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะคะแนนพรีเทสนี้ไม่สามารถเอามาเป็นตัวชี้วัดได้ว่าหนูจะสอบได้หรือไม่ได้ เป็นเพียงการลองสนามสอบเท่านั้น
เราฝึกทำแบบฝึกหัดกันอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอเหมือนเดิม มีกิจกรรมที่ทำต่อในช่วงค่ำหลังจากที่ออกไปวิ่งเล่นมาแล้วคือซ้อมเปียโนกับร้องเพลง ส่วนนิทานนั้น แม่ยังอ่านให้หนูฟังเหมือนเดิม เพื่อความสนุกสนาน เสริมสร้างจินตนาการ และเพื่อจับใจความ
ในการสอบของทุกสาธิต จะเน้นเรื่องการอ่านจับใจความมาก ทั้งนี้น่าจะเน้นสมาธิของเด็กด้วย ถ้าเด็กไม่ตั้งใจฟังก็จะตอบไม่ได้ บางคำถามก็เน้นการคิดวิเคราะห์ด้วย ไม่ใช่ถามจากเรื่องเท่านั้น แม่จึงอ่านนิทานให้ฟังและให้คุณพ่อเล่านิทานให้ฟังก่อนนอนทุกคืน เพราะการเล่าปากเปล่าจะช่วยเสริมจินตนาการได้ดีกว่าการอ่านภาพจากหนังสือ
สนามสอบต่อไปที่แม่ตั้งใจให้ไปสอบคือ โรงเรียนราชวินิต (ห้องพิเศษ) สนามนี้เป็นสนามสอบจริงครั้งแรกของหนู มีนักเรียนมาสอบพันกว่าคน รับ ๑๒๐ คน นับว่าเป็นสนามที่ใหญ่มาก ข้อสอบของที่นี่มี ๖๐ ข้อเหมือนสาธิตเกษตร แต่จะมีภาษาอังกฤษ ๕ ข้อ อีก ๕๕ ข้อเป็นเชาวน์ เลข ภาษาไทย และความรู้ทั่วไป ในปี ๒๕๕๗ นี้ที่ราชวินิตสอบเดือนกุมภาพันธ์
วันที่ประกาศผล แม่เปิดดูผลทางอินเทอร์เน็ตแต่เช้าเหมือนเคย แล้วแม่ก็ดีใจมากที่เห็นชื่อหนู แต่หนูอยู่ในกลุ่มเด็กที่มีคะแนนเท่ากัน ต้องไปสอบใหม่ ปีนี้มีรายชื่อเด็กที่สอบได้คือลำดับที่ ๑-๑๑๓ เรียงตามคะแนนสูงสุดไล่ลงมา ส่วนลำดับที่ ๑๑๔-๑๓๑ ได้คะแนนเท่ากัน
การสอบรอบสองแม่ก็ลุ้นยิ่งกว่ารอบแรก เพราะทางโรงเรียนจะรับเพิ่มอีกแค่ ๗ คนเท่านั้น ในวันสอบใหม่หนูทำคะแนนเพิ่มขึ้นจากเดิมได้อีก ๔ คะแนน และจะได้เป็นนักเรียนของโรงเรียนราชวินิต แม่ดีใจมากที่หนูได้ที่เรียนสำรองไว้แล้ว แม้จะต้องฝ่าฟันการจราจรที่ติดขัดและไกลบ้านก็ตาม...
บันทึกไว้ ณ วันที่ 8 ธ.ค. 57 ตะวันเรียนอยู่ อ.1 เทอม 2
จนกระทั่งเปิดอินเทอร์เน็ตไปเจอครูติวท่านหนึ่งในเว็บไซต์ momypedia.com อ่านไปอ่านมา ก็ตัดสินใจทันทีว่า ส่งไปติวดีกว่า เพราะ
๑. จะได้รู้แนวทางว่าจะต้องติวอะไรให้หนู
๒. หนูจะได้เจอเพื่อนๆ ที่ต้องไปปฏิบัติภารกิจเหมือนๆ กันกับหนู
๓. แม่ก็จะได้คุยกับคุณครูและพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีอุดมการณ์เดียวกันด้วย
แล้วแม่ก็ส่งหนูไปเรียน (อีกแล้ว) แต่คราวนี้เป็นการเรียนเสริมบ่ายวันเสาร์ ครั้งละ ๒ ชั่วโมง คุณพ่อเริ่มบ่น แต่แม่ไม่พูดอะไรมาก ความหมายก็คือ ไม่ต้องเข้าใจ แค่ตามใจคอยไปรับ-ส่งก็พอ
ชีวิตเสาร์อาทิตย์ของครอบครัวเราจึงมีตารางกิจกรรมเพิ่มขึ้น เช้าวันเสาร์เรียนดนตรี บ่ายเรียนเตรียมความพร้อม ส่วนช่วงเช้าวันอาทิตย์เรียนภาษาอังกฤษ เราไปไหนไปกันแบบนี้ตลอดทั้งปี จนมันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่คุ้นเคยและสนุกสนาน
การเรียนเสริมบ่ายวันเสาร์ได้ผลดีจริงๆ เพราะทำให้แม่รู้ว่าหนูยังอ่อนอะไร ไม่ได้อะไรบ้าง และควรเสริมอะไรต่อ คุณครูสอนความรู้ให้หนูได้ดีจริงๆ ช่วยสอนให้หนูคิดเป็น แถมยังได้ลองสนามสอบจำลองที่มีประโยชน์มาก และแม่ก็ยังได้รู้จักเพื่อนร่วมทางอีกหลายคนด้วย
ในสนามสอบจำลองทำให้แม่ได้รู้จุดอ่อนที่ควรแก้ไขและข้อควรระมัดระวังมากขึ้น เด็กหลายคนมีสมาธิดีแค่ในช่วงครึ่งแรก แต่ช่วงครึ่งหลังสมาธิหลุด และมีหลายคนที่อ่านออกเขียนได้คล่องก็มักจะไม่รอฟังคำสั่งของครู โดยจะอ่านเองและทำล่วงหน้าไปก่อน ทำให้กาผิดข้อ บางคนก็ดูข้อไม่ดี กาผิดข้อไปก็มี หรือบางคนใส่ชุดใหม่มาสอบ นั่งเล่นลูกปัดที่ชุดก็มี
การให้ลูกได้ลองสนามสอบจำลอง จึงทำให้เห็นจุดอ่อนของลูก และแก้ไขจุดอ่อนนั้นได้ก่อนที่จะลงสนามสอบจริง
แม่ได้อ่านข้อมูลเรื่องการติวจากเว็บไซต์หนึ่ง ทำให้แม่รู้ว่า ผู้ปกครองบางคนเอาจริงเอาจังมาก ให้ลูกไปติวมากกว่า ๑ ที่ บางคน ๒ ที่ บางคนติวสูงสุดถึง ๔ ที่ แม่อ่านด้วยความอัศจรรย์ใจในความทุ่มเทเหล่านั้น แล้วแม่ก็ได้แต่รำพึงออกมาว่า “เขาทุ่มเทกันขนาดนี้เลยนะ”
แล้วแม่ก็อ่านข้อความต่อไป เขาบอกต่ออีกว่า... แต่ก็ใช่ว่าติวเยอะๆ แล้วจะเป็นเครื่องรับประกันว่าสอบได้ บางคนติวหลายที่แต่สอบไม่ได้ก็มี บางคนติวที่เดียวสอบได้ก็มี บางคนไม่ส่งติวเลยพ่อแม่สอนเองสอบได้ก็มี แม่ฟังแล้วก็อึ้ง แต่แม่ก็เชื่อมั่นว่า ติวกับแม่นี่แหละดีที่สุด เพราะแม่รู้จักลูกดีที่สุด และแม่ก็รู้ว่าลูกได้อะไรและยังไม่ได้อะไร
นอกจากนี้คุณครูเจ้าของโรงเรียนอนุบาลของหนูยังเมตตา เปิดสอนคอร์สสอนพ่อแม่เพื่อติวให้ลูก เดือนละครั้ง คุณครูทุ่มเทมากๆ แม้คุณครูจะมีลูกเล็กแต่ก็ปลีกเวลามาสอนให้กับพ่อแม่ที่สนใจ
แม่ไปเรียนทุกครั้ง ยกเว้นครั้งสุดท้ายที่แม่ติดธุระจริงๆ ไม่สามารถไปเรียนได้ แม่ได้ความรู้และข้อคิดในการสอนลูกมามากมาย ทั้งเทคนิคในการสอนเชาวน์ การสอนเลข และการสอนภาษาไทย
นอกจากนี้แล้วแม่ยังได้ข้อมูลมาจากเว็บไซต์ momypedia อีกว่า มีครูติวใจดีท่านหนึ่งแถวแจ้งวัฒนะจัดคอร์สแบ่งปันขึ้น เป็นคอร์สที่ติวให้ฟรี ๓ ครั้งช่วงปิดเทอมเดือนตุลาคม ทางคุณครูจัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่สี่แล้ว แต่ต้องไปทดสอบความพร้อมเพื่อคัดเลือกก่อน แม่จึงพาหนูไปทดสอบ ปรากฏว่าหนูสอบผ่านและได้เรียนฟรี ๓ ครั้ง
จากการเรียนกับคุณครูที่แจ้งวัฒนะ ทำให้แม่รู้มากขึ้นว่าหนูอ่อนอะไร และต้องเสริมจุดไหนเพิ่มเติม คุณครูอธิบายและให้คำแนะนำมาดีมาก
กิจกรรมการเตรียมความพร้อมให้หนูมีขึ้นทุกวันเป็นประจำสม่ำเสมอไม่เคยขาด กลับจากโรงเรียนหลังจากทำการบ้านแล้วเราก็จะมานั่งทำแบบฝึกหัดกัน วันละประมาณ ๑ ชั่วโมงก่อนออกไปวิ่งเล่น
แม่เชื่อว่าการฝึกทำแบบฝึกหัดบ่อยๆ เป็นประจำสม่ำเสมอ จะช่วยให้หนูคุ้นเคยกับการทำข้อสอบ เพิ่มความเชี่ยวชาญ พัฒนาการคิด ให้คิดเป็นขั้นเป็นตอน คิดเชื่อมโยงได้ คิดแยกแยะเป็น พลิกแพลงได้ ใช้เหตุผลในการคิด และการทำแบบฝึกหัดทุกวันยังเป็นการช่วยฝึกวินัยให้หนูด้วย
แม่เชื่อว่า ถ้าหากหนูจะสอบไม่ติดสาธิตเกษตร แต่ความรู้และกระบวนการเหล่านี้จะติดตัวหนูไปตลอด ไม่ว่าหนูจะได้เรียนที่ไหนก็ตาม
แม่ไม่เสียดายเวลาที่เราติวกันนี้เลย แต่กลับมีความสุขที่ได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก และลูกก็สนุกด้วยที่ได้ทำแบบฝึกหัดที่ท้าทายกับแม่
ตอนที่ ๙ "สอบจริงในสนามซ้อม"
ในช่วงปีนี้ นอกจากจะนั่งทำแบบฝึกหัดอยู่บ้านแล้ว แม่ยังให้หนูได้ไปลองสนามสอบด้วย เพื่อดูว่าถ้าหนูต้องไปสอบกับเพื่อนๆ เยอะแยะมากมาย หนูจะเป็นยังไง จะตื่นสนามไหม
สนามแรกที่แม่เลือกค...ือ สนามสอบพรีเทสสาธิตประสานมิตร จัดสอบช่วงเดือนพฤศจิกายน สนามนี้มีนักเรียนไปสอบประมาณ ๓,๐๐๐ คน ข้อสอบจะเน้นการคิดและจับใจความ คะแนนที่ได้ก็อาจจะพอวัดได้ในระดับหนึ่ง
วันที่หนูไปสอบแม่ก็ตื่นเต้นพอๆ กับวันสอบจริง และรอลุ้นผลไม่ต่างกัน วันที่ไปสอบคนเยอะมากจริงๆ แต่สิ่งที่แม่พอใจมากที่สุดกลับไม่ใช่ผลสอบ ลูกของแม่กล้าที่จะเดินเข้าไปสอบกับเพื่อนๆ โดยไม่งอแงร้องไห้ และเดินไปเข้าห้องสอบอย่างมั่นใจ แม่อยากบอกว่าแม่ภูมิใจมาก
แล้ววันที่ผลสอบออกก็มาถึง แม่รีบเปิดดูผลทางอินเทอร์เน็ตแต่เช้า ที่นี่จะบอกคะแนนที่เป็นคะแนนที-สกอร์สูงสุด กับต่ำสุด บอกคะแนนกับลำดับที่ที่หนูสอบได้ หนูสอบได้ ๖๑.๗๘๙๐๑ คะแนน ได้ลำดับที่ ๑๗๔ จากคะแนนสูงสุด ๖๙.๘๔๒๖๙ และคะแนนต่ำสุด ๓๒.๐๙๑๐๐
จะเห็นว่าจุดทศนิยมเยอะมาก แม่เคยอ่านเจอว่า เวลาสอบจริงเด็กบางคนสอบไม่ได้ ก็ตัดกันตรงจุดทศนิยมสองตัวหลังนี่เอง แม่จึงคิดว่าการกาผิด ๑ ข้อมีผลมาก สามารถทำให้เด็กสอบติดและไม่ติดได้
คะแนนพรีเทสของหนูถือว่าอยู่ในระดับที่มีลุ้นสำหรับแม่ ทำให้แม่มีความหวังมากขึ้น แต่ก็ต้องมาฝึกหนูมากขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะคะแนนพรีเทสนี้ไม่สามารถเอามาเป็นตัวชี้วัดได้ว่าหนูจะสอบได้หรือไม่ได้ เป็นเพียงการลองสนามสอบเท่านั้น
เราฝึกทำแบบฝึกหัดกันอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอเหมือนเดิม มีกิจกรรมที่ทำต่อในช่วงค่ำหลังจากที่ออกไปวิ่งเล่นมาแล้วคือซ้อมเปียโนกับร้องเพลง ส่วนนิทานนั้น แม่ยังอ่านให้หนูฟังเหมือนเดิม เพื่อความสนุกสนาน เสริมสร้างจินตนาการ และเพื่อจับใจความ
ในการสอบของทุกสาธิต จะเน้นเรื่องการอ่านจับใจความมาก ทั้งนี้น่าจะเน้นสมาธิของเด็กด้วย ถ้าเด็กไม่ตั้งใจฟังก็จะตอบไม่ได้ บางคำถามก็เน้นการคิดวิเคราะห์ด้วย ไม่ใช่ถามจากเรื่องเท่านั้น แม่จึงอ่านนิทานให้ฟังและให้คุณพ่อเล่านิทานให้ฟังก่อนนอนทุกคืน เพราะการเล่าปากเปล่าจะช่วยเสริมจินตนาการได้ดีกว่าการอ่านภาพจากหนังสือ
สนามสอบต่อไปที่แม่ตั้งใจให้ไปสอบคือ โรงเรียนราชวินิต (ห้องพิเศษ) สนามนี้เป็นสนามสอบจริงครั้งแรกของหนู มีนักเรียนมาสอบพันกว่าคน รับ ๑๒๐ คน นับว่าเป็นสนามที่ใหญ่มาก ข้อสอบของที่นี่มี ๖๐ ข้อเหมือนสาธิตเกษตร แต่จะมีภาษาอังกฤษ ๕ ข้อ อีก ๕๕ ข้อเป็นเชาวน์ เลข ภาษาไทย และความรู้ทั่วไป ในปี ๒๕๕๗ นี้ที่ราชวินิตสอบเดือนกุมภาพันธ์
วันที่ประกาศผล แม่เปิดดูผลทางอินเทอร์เน็ตแต่เช้าเหมือนเคย แล้วแม่ก็ดีใจมากที่เห็นชื่อหนู แต่หนูอยู่ในกลุ่มเด็กที่มีคะแนนเท่ากัน ต้องไปสอบใหม่ ปีนี้มีรายชื่อเด็กที่สอบได้คือลำดับที่ ๑-๑๑๓ เรียงตามคะแนนสูงสุดไล่ลงมา ส่วนลำดับที่ ๑๑๔-๑๓๑ ได้คะแนนเท่ากัน
การสอบรอบสองแม่ก็ลุ้นยิ่งกว่ารอบแรก เพราะทางโรงเรียนจะรับเพิ่มอีกแค่ ๗ คนเท่านั้น ในวันสอบใหม่หนูทำคะแนนเพิ่มขึ้นจากเดิมได้อีก ๔ คะแนน และจะได้เป็นนักเรียนของโรงเรียนราชวินิต แม่ดีใจมากที่หนูได้ที่เรียนสำรองไว้แล้ว แม้จะต้องฝ่าฟันการจราจรที่ติดขัดและไกลบ้านก็ตาม...
บันทึกไว้ ณ วันที่ 8 ธ.ค. 57 ตะวันเรียนอยู่ อ.1 เทอม 2
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น