วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ข้อความการถ่ายทอดความรู้ของคุณแม่

ข้อความจาก fb สำนักพิมพ์ทูเดย์ (https://www.facebook.com/todaydesign?fref=photo)


น่าสนใจ คุณแม่ผู้เขียนเป็นคนติวลูกด้วยตัวเอง มีความตั้งมั่นในการให้ลูกสอบเข้าโดยใช้วิธีสอนผ่านการเล่น => ดูแล้วเป็นแนวทางเดียวกับที่เราต้องการเช่นกัน  ลูกไม่เครียด แม่แอบเครียดก็ไม่เป็นไร ไม่ลองเราจะไม่รู้ ลองดูแล้วผลเป็นยังไงก็ต้องยอมรับนะ ^^


https://www.facebook.com/todaydesign/photos/a.570720513017653.1073741828.533851826704522/757983860957983/?type=1






ขอคัดลอกมาเก็บไว้เพื่ออ่านในอนาคตนะคะ

สอบสาธิต เตรียมชีวิตให้ลูกรัก

ตอนที่ ๑
"บันทึกเส้นทางมุ่งตรงสู่รั้วสาธิต"

แม่อยากเขียนบันทึกนี้ไว้ เพื่อให้ลูกได้อ่าน
ลูกจะได้รู้ว่าแม่ต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกทั้งสองมากแค่ไหน ...
และการศึกษาก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่แม่จะมอบให้ลูกได้

เมื่อแม่รู้ว่ามีลูกมาอยู่ในท้อง แม่ก็เริ่มอ่านหนังสือสารพัดเกี่ยวกับลูก เพื่อที่จะดูแลลูกให้ดีที่สุด อะไรที่ไม่ดี ไม่ควรทำสำหรับแม่ท้อง แม่ลด ละ เลิกทั้งหมด เพื่อให้ลูกออกมาสมบูรณ์แข็งแรงและมีพัฒนาการที่ดี

เมื่อแม่ไปไหว้พระขอพร แม่ก็จะขอเสมอว่าขอให้ลูกเป็นเด็กดี มีศีล สมาธิ ปัญญา และเป็นที่รักของทุกคนที่ได้พบเห็น

และแม่ก็คิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่แม่จะมอบให้ลูกได้ก็คือการศึกษาที่ดี
แม่หาข้อมูลมากมายเรื่องการหาโรงเรียนให้ลูก แล้วแม่ก็พบว่าแนวบูรณาการน่าจะเหมาะกับหนูที่สุด ไม่เน้นวิชาการเกินไป มีความสุขกับการเรียนรู้ และได้พัฒนาทักษะด้านการคิดอย่างรอบด้าน

แม่ดูข้อมูลแนวบูรณาการของทุกโรงเรียนในละแวกใกล้บ้าน และแม่ก็พบว่าสาธิตเกษตรนี่แหละดีที่สุด แต่เขาเปิดรับตอนชั้นประถม 1

ยิ่งแม่ได้หาข้อมูลเกี่ยวกับสาธิตเกษตร แม่ยิ่งชอบโรงเรียนนี้ แม่คิดว่าสภาพแวดล้อมของโรงเรียนเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ในการเลือกโรงเรียนให้ลูกเลยก็ว่าได้

จะว่าไปแม่หาโรงเรียนประถมให้หนูก่อนที่จะหาโรงเรียนอนุบาลเสียอีก



ตอนที่ ๒
"ก้าวแรกสู่โรงเรียนอนุบาล"

เมื่อแม่หาข้อมูลอย่างมากมาย แม่ก็ปักธงไว้ที่สาธิตเกษตร หลังจากที่แม่ปักธงไว้แล้ว แม่ก็เริ่มหาโรงเรียนอนุบาลใกล้บ้านที่สอดคล้องกับสาธิตเกษตรมากที่สุด
...
แม่จำได้ว่าตอนนั้นแม่ใกล้จะคลอดน้องแล้ว อายุครรภ์ได้ ๘ เดือนเศษ และน้องจะคลอดในเดือนกันยายน แม่กับคุณพ่อรีบออกตามล่าหาโรงเรียนที่ว่านั้น ไปดูหลายที่มากๆ แล้วสุดท้ายก็มีพี่ใจดีคนหนึ่งแนะนำให้ไปดูที่โรงเรียนอนุบาลเล็กๆ ใกล้บ้าน

แม่เข้าไปดูก็ประทับใจตั้งแต่แรกเห็น เป็นโรงเรียนเล็กๆ ที่ดูอบอุ่น มีสถานที่ให้ลูกได้วิ่งเล่น มีสระว่ายน้ำ และเป็นแนวบูรณาการ แม่ชอบโรงเรียนนี้ทันที และตั้งใจมากว่าจะให้หนูได้เข้าเรียนที่นี่

แต่...อายุของหนูยังไม่ถึงเกณฑ์ ๒ ขวบ ๖ เดือนของนักเรียนเตรียมอนุบาลที่โรงเรียนตั้งไว้ เพราะขณะนั้นหนูอายุแค่ ๒ ขวบ ๑ เดือน และในเดือนพฤศจิกายนที่โรงเรียนเปิดเทอม ๒ หนูจะมีอยู่แค่ ๒ ขวบ ๓ เดือนเท่านั้น

แม่อยากให้หนูเข้าเรียนมาก ด้วยเหตุผลใหญ่ๆ คือ แม่ต้องเลี้ยงน้องที่กำลังจะคลอดออกมา ซึ่งเป็นงานที่เหนื่อยหนักและใช้เวลามาก คุณพ่อก็กำลังจะเปลี่ยนงาน คุณแม่ต้องเลี้ยงน้องกับหนูคนเดียว แม่เลยตัดสินใจส่งหนูเข้าโรงเรียน

และแม่ก็คิดว่าแม่คงไม่มีเวลาอ่านนิทาน หรือนั่งเล่นเพื่อส่งเสริมพัฒนาการให้หนูเหมือนเมื่อวันก่อนๆ ถ้าหนูได้ไปอยู่กับคุณครู คุณครูจะได้ช่วยให้ความรู้ในส่วนที่แม่ทำให้ได้ไม่เต็มที่นี้กับหนูได้

แม่เกรงว่าช่วงเวลาที่ขาดหายไปของหนูจะเป็นช่วงเวลาอันสูญเปล่า เพราะเวลาที่ผ่านไปแต่ละวันของลูกนั้นสำคัญมาก เป็นช่วงเวลาทองเลยก็ว่าได้

ครั้งที่หนึ่งที่แม่ไปขอคุณครู คุณครูปฏิเสธบอกว่ารับหนูเข้าเรียนไม่ได้ เพราะหนูยังอ่อนมาก อายุน้อยกว่าเพื่อนไปหลายเดือนมากๆ ที่โรงเรียนพออนุโลมให้ได้คือไม่เกินครึ่งเดือนหรืออย่างมากที่สุดก็ไม่เกินหนึ่งเดือน และไม่ใช่เพราะว่าโรงเรียนไม่ชอบเด็กเล็ก แต่เพราะสงสารตัวหนูที่จะต้องปรับตัวเข้ากับเพื่อนๆ และโรงเรียน และถ้าหนูเล็กมากก็อาจจะเป็นภาระของคุณครูด้วย

แต่คุณแม่เชื่อมั่นในตัวหนูมาก แม่คิดว่าถ้าแม่ไม่เชื่อมั่นในตัวลูก แล้วจะให้คนอื่นมาเชื่อมั่นในตัวลูกของแม่ได้ยังไง

แม่ให้เหตุผลคุณครูไปว่าหนูเก่งมาก ดูแลตัวเองได้ เลิกขวดนมแล้ว เลิกแพมเพิร์สแล้ว บอกเรื่องการขับถ่ายได้แล้ว

แต่คุณครูก็ปฏิเสธ แม่กลับบ้านมาด้วยความเศร้า...



ตอนที่ ๓
"อย่าเพิ่งละความพยายาม"

แต่...แม่ไม่ถอย แม่ไปคุยกับพี่คนที่แนะนำให้แม่รู้จักกับโรงเรียนนี้และบอกว่าอยากให้ลูกเข้าเรียนมากแต่คุณครูยังไม่รับ เพราะอายุน้อยเกิน พี่เขาใจดีมากบอกว่าจะไปช่วยพูดกับคุณครูให้
...
ครั้งที่สองก็ไปโรงเรียนอีกครั้ง โดยมีพี่ใจดีคนนี้ไปด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ คุณครูก็ยังย้ำคำเดิมว่าน้องอ่อนเกินไป แม้คุณแม่จะย้ำเหมือนเดิมว่าหนูเก่งมาก เรียนรู้ได้เร็ว ช่วยเหลือตัวเองได้ ความจำดีเลิศก็ตาม แล้วคุณแม่ก็ต้องกลับบ้านโดยที่หนูยังไม่ได้เข้าเรียน

วันที่น้องหนูจะได้ลืมตาดูโลกก็ใกล้เข้ามาทุกที แม่ได้แต่นั่งคิดว่าจะทำยังไงดี ขณะที่นั่งอยู่หน้าจอคอมฯ ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามา

ถ้ายังพยายามไม่ถึงที่สุด อย่าเพิ่งละความพยายาม

แม่จึงตัดสินใจเขียนจดหมายถึงคุณครูเจ้าของโรงเรียน เพราะขณะนั้นคุณครูไม่เข้าโรงเรียน เพราะอยู่ในช่วงลาคลอด เบอร์โทรศัพท์ที่แอบได้มาก็ไม่กล้าโทร.ไป เพราะรู้ดีว่าคุณแม่ที่เพิ่งคลอดน้องใหม่ๆ ยุ่งและเหนื่อยแค่ไหน แม่ไม่มีแม้แต่เบอร์อีเมลของคุณครู

สุดท้ายก็คิดออกว่าควรเข้าไปฝากข้อความไว้ใน “ติดต่อเรา” ในหน้าเว็บไซต์ของโรงเรียน เมื่อคิดวิธีการได้ คุณแม่ก็เริ่มลงมือปฏิบัติการทันที

แม่เริ่มนั่งเขียนจดหมายจากใจจริง เล่าเหตุผลต่างๆ นานาว่าแม่จำเป็นแค่ไหนที่จะให้หนูได้เข้าเรียน เหตุผลที่แม่เลือกโรงเรียนนี้ให้ลูกเล่าถึงความมุ่งมั่นที่แม่อยากให้ลูกได้เรียนในโรงเรียนแห่งนี้ และเล่าถึงความใฝ่ฝันสูงสุดถึงโรงเรียนประถมที่จะให้หนูไปเข้าเรียน

หลังจากที่แม่ส่งจดหมายฉบับนั้นไปแล้ว หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ไม่มีการตอบกลับ แม่นั่งลุ้นต่อไปทุกวัน

แล้วเย็นวันหนึ่งเสียงโทรศัพท์จากสวรรค์ก็ดังขึ้น

“คุณแม่น้องทอฝันใช่ไหมคะ จากโรงเรียนอนุบาล...ค่ะ”

รู้ไหมว่าวินาทีนั้น แม่รู้สึกยังไง แทบจะกระโดดตัวลอย แต่ติดที่แม่เพิ่งคลอดน้องได้ไม่กี่วัน แม่เลยกระโดดไม่ได้ แม่ดีใจมาก ดีใจมากที่สุด คุณครูโทร.มาบอกให้คุณแม่พาหนูไปสมัครเรียน แล้วในที่สุดแม่ก็ได้พาหนูไปสมัครเรียนจริงๆ

เมื่อคุณแม่ได้เจอคุณครูอีกครั้งเป็นครั้งที่สาม วันนั้นเป็นวันที่แม่คลอดน้องได้เก้าวันพอดี คุณครูพูดล้อคุณแม่ว่า

“เอาจนได้เลยนะ คุณแม่ คุณครูจะจำชื่อน้องไปจนวันเกษียณเลย”

ตอนนั้นแม่ดีใจมาก ดีใจยิ่งกว่าตัวเองสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เสียอีก คุณแม่ได้พาหนูไปมอบตัวและจ่ายเงินค่าเทอม รับชุดนักเรียน

ชีวิตในรั้วโรงเรียนอนุบาลของหนูก็เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันนั้น...


ตอนที่ ๔ "น้ำตาตกใน"

เดือนตุลาคม ช่วงใกล้เปิดเทอม คุณครูให้หนูไปปรับตัวที่โรงเรียน หนูไม่ร้องไห้เลยแม้แต่นิดเดียว สองวันแรกคุณพ่อไปอยู่ด้วยทั้งวัน และวันต่อๆ มาก็เริ่มถอยห่าง หนูสามารถอยู่ได้ แม่ดีใจมากที่หนูปรับตัวได้
...
พอเปิดเทอมแม่ให้หนูขึ้นรถตู้ไปโรงเรียน แล้วแม่ก็ต้องตกใจ พอรถตู้โรงเรียนมาจอดรับหน้าบ้าน หนูร้องไห้จ้า ไม่อยากขึ้นรถตู้โรงเรียนเลย แม่ใจเสียทันที แต่วันนั้นก็จำใจส่งหนูให้อยู่ในอ้อมกอดของครู และวันนั้นแม่ก็ไม่สบายใจไปตลอดทั้งวัน

ภาพที่หนูร้องไห้จ้าเป็นภาพที่ติดตา ติดใจ และบีบหัวใจมากจริงๆ

วันที่สองแม่ก็ยังให้หนูขึ้นรถโรงเรียนเหมือนเดิม หนูก็ร้องไห้เหมือนเดิม แม่ก็น้ำตาตกในเหมือนเดิม

วันที่สาม ที่หนักกว่านั้น พอหนูกลับมาบ้าน หนูไม่ร่าเริงเหมือนเดิม แถมตอนกลางคืนก็ละเมอร้องไห้ตัวสั่น แม่กอดหนูไปร้องไห้ไป แม่บังคับหนูเกินไปหรือเปล่

วันต่อมาแม่จึงตัดสินใจไม่ให้หนูขึ้นรถตู้ของโรงเรียนแล้ว ให้คุณพ่อหนูไปส่งแทน และแม่ก็อุ้มน้องตัวเล็กที่คลอดมาไม่ถึงสองเดือนไปส่งด้วยทุกวัน

ช่วงแรกๆ หนูก็ยังร้องมากถึงมากที่สุด คุณครูบอกว่าหนูยังเล็กมาก ต้องให้เวลาหนูอีกหน่อย

ยิ่งคุณครูย้ำคำว่าเล็กหรืออ่อนมากเท่าไหร่ แม่ยิ่งรู้สึกผิดมากเท่านั้

แต่อีกใจหนึ่ง แม่คิดว่าเมื่อตัดสินใจเดินมาทางนี้แล้ว ก็คงต้องเดินต่อไป แม่เอาใจช่วยหนูทุกวัน พูดคุยให้หนูปรับตัวได้ แม่เชื่อในตัวหนูมากว่า "หนูทำได้"

จนกระทั่งสองเดือนผ่านไป หนูถึงได้หยุดร้องไห้

ชีวิตในรั้วโรงเรียนของหนูเป็นไปอย่างร่าเริงสนุกสนาน และมีความสุขกับการไปโรงเรียน หนูได้เรียนชั้นเตรียมอนุบาลกับเพื่อนๆ ตอนนั้น ในใจแม่ก็คิดต่อว่า ปีการศึกษาหน้าจะให้หนูขึ้นอนุบาลหนึ่งยังไงดี เพราะคุณครูยังไม่เลิกย้ำคำว่าเล็กหรืออ่อนของหนูเลย แต่แม่กลับไม่คิดอย่างนั้น ทุกอย่างอยู่ที่ตัวหนู และแม่ก็รู้จักหนูดีที่สุด แม่รู้ว่าอะไรบ้างที่หนูทำได้ดี และแม่เชื่อว่าหนูทำได้ดีไม่แพ้เพื่อนๆ ในห้องเดียวกัน

และแม่ก็เชื่อว่าคำว่าอายุน้อยไม่ใช่อุปสรรคของการเรียนรู้เลย เราเรียนรู้ได้เท่ากัน อาจจะมีแค่เรื่องกล้ามเนื้อมือที่ยังแข็งแรงไม่เท่า แต่แม่ก็เชื่อว่าสิ่งนี้จะพัฒนาขึ้นได้ตามลำดับ

แม่ไม่เคยเชื่อว่าความเก่งจะต้องเป็นไปตามอายุ มันผกผันได้ แม่เชื่ออย่างนี้มาตลอด ความคิดแม่กบฏไหม...

แม่อยากฝากหนูไว้ว่า เมื่อโตขึ้นแม่อยากให้หนูเชื่อในตัวเอง ซึ่งต่างกับเชื่อมั่นในตัวเองนะ แม่อยากให้หนูเชื่อในตัวเองว่าหนูทำได้ หนูมีความสามารถ เชื่อว่าหนูมีสิทธิ์ที่จะประสบความสำเร็จ แล้วลงมือทำให้เต็มที่ ถ้ายังไม่เต็มที่ อย่าเพิ่งเลิกทำ

การลงมือทำอย่างเต็มที่มีพลังอย่างมาก มันจะทำให้จิตใจของหนูเปี่ยมไปด้วยพลัง และความเชื่อที่ไม่มีอะไรมาสั่นคลอนได้ จะทำให้เราทำสิ่งนั้นให้มันเป็นจริง


ตอนที่ ๕ "ปรับใหม่หัวใจแม่"

การก้าวข้ามข้อจำกัดแรกคือการให้หนูได้เข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาลผ่านไปด้วยดี
...
ยังเหลือข้อจำกัดต่อมาคือ ทำยังไงจะให้หนูได้ขึ้นชั้นอนุบาลหนึ่งในปีการศึกษาถัดไป ไม่ใช่ซ้ำอยู่ที่ชั้นเตรียมอนุบาลอีกปี หนูจะต้องขึ้นอนุบาลหนึ่งที่อายุ ๒ ขวบ ๙ เดือน ดูท่าทางคุณครูคงไม่ยอมอีก เพราะยังไม่เต็มสามขวบ

แต่แม่ก็เชื่อมั่นมากว่าหนูทำได้ แม่เชื่อว่าหนูเก่ง เพราะแม่อยู่กับหนูทุกวัน อ่านหนังสือให้ฟังทุกวัน และหนูก็เป็นเด็กที่มีสมาธิดีมาก มีความจำเป็นเลิศด้วย แม่จึงพยายามคิดหาวิธี

แล้วแม่ก็คุยกับคุณครูอีกครั้ง บางที คุณครูอาจจะเหนื่อยใจกับคุณแม่คนนี้ก็ได้นะ แต่แม่ไม่ถอย แม่รู้ว่าแม่กำลังทำอะไร และแม่ก็รู้ว่าหนูเป็นยังไง เส้นทางมุ่งตรงสู่รั้วสาธิตเกษตรไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก หากได้เตรียมตัวและวางแผนอย่างดีเสียตั้งแต่วันนี้

เมื่อไม่ลองก็ไม่รู้ เมื่อไม่พยายาม ก็ไม่เห็นผลของความพยายาม

แม่จึงพยายามคุยกับคุณครูอีกครั้ง แสดงเจตจำนงที่ชัดเจนของแม่ แม่ยอมรับในใจว่าถ้าแม่ทำดีที่สุดแล้วไม่ได้ผล แม่ก็จะยอมรับ แต่ก่อนที่แม่จะยอมรับ แม่ขอทำทุกอย่างให้เต็มที่ก่อนแล้วกัน

เหตุผลที่แม่ให้หนูเข้าเรียนเร็วกว่าอายุ เพราะแม่อ่านเจอมาว่าสาธิตเกษตรจะรับเด็กตามอายุ ไม่ใช่รับเด็กที่จบชั้นอนุบาลสาม และเด็กแต่ละคนจะมีสิทธิ์สอบสาธิตเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

สำหรับเด็กที่จะไปสอบสาธิตเกษตร มีเฉพาะเด็กที่เกิดวันที่ 15 ธันวาคม เท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์สอบได้สองครั้

ปีที่หนูจะต้องไปสอบสาธิตเกษตรคือปี ๒๕๕๗ ในปีนั้นเด็กที่ต้องไปสอบคือเด็กที่เกิด ๑๕ ธ.ค. ๕๐ – ๑๕ ธ.ค. ๕๑ และแม่ได้คำนวณระยะเวลาแล้ว หนูต้องขึ้นอนุบาลหนึ่งในปีการศึกษา ๒๕๕๔ ไม่อย่างนั้น หนูจะต้องไปสอบตอนจบอนุบาลสอง ซึ่งแม่มองแล้วว่าจะเสียเปรียบเด็กที่จบอนุบาลสามมาก เพราะเด็กอนุบาลสามจะพออ่านออกเขียนได้ และบวกลบเลขกันคล่องพอสมควรแล้ว

ถ้าหนูต้องไปสอบแข่งกับเด็กอนุบาลสาม มีโอกาสน้อยมากที่หนูจะสอบได้ แม่จึงต้องยืนยันกับคุณครูว่าขอให้หนูได้ขึ้นอนุบาลหนึ่ง แม้อายุจะไม่ถึง ๓ ขวบไป ๓ เดือนก็ตาม แม่รอลุ้นผลอยู่ทุกวันว่าคุณครูจะประชุมและตกลงกันว่ายังไง

แม่รู้ว่าแม่ทำความลำบากใจให้คุณครู เด็กแต่ละคนมีพัฒนาการที่แตกต่างกัน แม่ก็เชื่อเช่นนั้น แต่แม่ก็เชื่อว่าอายุไม่ใช่ข้อจำกัดของการเรียนรู้เช่นกัน เด็กจะมีพัฒนาการที่ดีได้ ไม่ใช่เพราะมีอายุมากขึ้น แต่เพราะการใช้เวลาที่มีประสิทธิภาพร่วมกันรวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมพัฒนาการของพ่อแม่

ในช่วงปิดเทอมใหญ่ แม่ให้หนูไปเรียนซัมเมอร์ซึ่งเป็นกิจกรรมเสริมพัฒนาการที่โรงเรียนด้วย เพื่อเพิ่มความคุ้นเคยกับเพื่อนๆ คุณครู และโรงเรียน แม่ก็จะได้เจอคุณครูทุกวัน แม่ไม่กล้าถามครูตรงๆ คุณครูก็ไม่บอก ไม่พูดอะไรเรื่องนี้เลย

แล้วเช้าวันหนึ่งคุณครูประจำชั้นเตรียมอนุบาลของหนูก็บอกกับแม่ว่า “ปีหน้าน้องจะได้อยู่กับคุณครูอีก ๑ ปีนะคะ”

แม่ฟังตอนนั้นก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วกลับมานั่งทำใจที่บ้าน แล้วเริ่มปรับแผนใหม่ว่าจะให้หนูพร้อมสอบสาธิตตอนอนุบาลสองยังไงดี

แต่แล้ว พอเปิดเทอม แม่ไปดูรายชื่อเด็กอนุบาลหนึ่งที่ติดอยู่ที่บอร์ดของโรงเรียน แม่ก็ต้องประหลาดใจ เพราะมีชื่อหนูอยู่ด้วย แม่ได้เจอคุณครูเจ้าของโรงเรียน คุณครูบอกว่าให้ลองขึ้นชั้นอนุบาลหนึ่งดู เพราะลองทดสอบพัฒนาการดูแล้ว หนูทำได้ แม่ดีใจมาก

แต่อีกใจก็แอบกังวลนิดๆ แม้ว่าแม่จะเชื่อมั่นว่าหนูทำได้ก็ตาม แล้วแม่ก็อ่านชื่อคุณครูประจำชั้น ปรากฏว่าเป็นคุณครูคนเดิมที่เคยสอนชั้นเตรียมอนุบาลนั่นเอง แม่เลยได้รู้ว่าคุณครูประจำชั้นของหนูแกล้งอำแม่ ที่คุณครูบอกว่าปีหน้าอยู่กับคุณครูอีกปีนั่นน่ะ ไม่ได้หมายความว่าอยู่ชั้นเตรียมอนุบาลอีกปี แต่หมายถึงคุณครูจะตามไปสอนอีกปีต่างหาก

แล้วในที่สุดแม่ก็ดีใจที่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ หนูได้ขึ้นชั้นอนุบาลหนึ่งในปีการศึกษาใหม่ เปิดเทอมใหม่หนูก็ยังร้องไห้อยู่เหมือนเดิม แต่จะร้องแค่ช่วงเช้า หลังจากนั้นก็ทำกิจกรรมกับเพื่อนได้ตามปกติ

ชีวิตในรั้วโรงเรียนอนุบาลของหนูเข้าสู่ภาวะปกติในเวลาไม่นาน ด้วยความเอาใจใส่ของคุณครูและหลักสูตรที่บูรณาการอย่างสร้างสรรค์ และไม่เร่งรัดความรู้ทางวิชาการจนเกินวัย ทำให้หนูได้เรียนรู้อย่างมีความสุขและสนุกสนาน

จากอนุบาลหนึ่งขึ้นอนุบาลสอง และอนุบาลสาม และผลการเรียนทุกเทอมของหนูก็ทำให้แม่แอบปลาบปลื้มใจไม่น้อยเลย




ตอนที่ ๖ "เสริมสื่อที่สร้างสรรค์"

ช่วงอนุบาลหนึ่งแม่ยังไม่ “ติว” คือยังไม่ได้ให้ทำแบบฝึกหัด แต่ฝึกสมาธิให้หนูอย่างเต็มที่ อ่านหนังสือให้ฟังเป็นตั้งๆ หนูชอบฟังมาก แม่ไม่เลิกอ่าน หนูก็ไม่เลิกฟัง
...
ทีวี สื่อเทคโนโลยีต่างๆ ปิดทั้งหมด แม่กับพ่อขัดแย้งกันหลายครั้งเรื่องทีวี

แม่ให้เหตุผลว่ามันทำลายสมาธิลูก ทำลายสมองลูก ทำลายจินตนาการของลูก สร้างพฤติกรรมที่ไม่ดีให้ลูก ลูกจะอดทนรอคอยอะไรไม่เป็น และเด็กเล็กขนาดนี้ก็ไม่ควรจะได้ดูทีวีเลย

หลังจากแม่ยืนยันหนักแน่นมากๆ ย้ำซ้ำกับคุณพ่อถึงผลเสียของมัน เอาบทความ เอางานวิจัยอะไรต่างๆ มาให้คุณพ่ออ่าน เพื่อที่เราจะได้เลี้ยงลูกไปในทางเดียวกัน สุดท้ายคุณพ่อก็ยอมยกทีวีไปเก็บ

แม่เลี้ยงหนูด้วยหนังสือ ตัวต่อ จิ๊กซอว์ ดินสอสี กระดาษ และซีดีเพลงมาโดยตลอด ไม่เคยเลี้ยงด้วยทีวี เกม และสื่อเทคโนโลยีอะไรเลย แม่เชื่อว่าเมื่อหนูโตขึ้น มีปัญญามากขึ้น หนูจะสามารถใช้เทคโนโลยีอย่างผู้มีปัญญาได้ด้วยตัวเอง

แม่เคยอ่านบทความชิ้นหนึ่ง เป็นของคุณสรวงมณฑ์ สิทธิสมาน แม่จำใจความสำคัญได้ว่า เราควรให้เทคโนโลยีเป็นหลังคาบ้าน คือสร้างให้ทีหลังสุด เวลาเราสร้างบ้านเราควรสร้างรากฐานให้แข็งแกร่ง ตอกเสาเข็มให้แข็งแรง

และเสาเข็มที่แม่จะลงมือลงแรงสร้างให้ลูกก็คือสมาธิ จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และความมีวินัย เพื่อที่ลูกจะได้ต่อยอดต่อไปได้ด้วยตัวเอง แม่เห็นด้วยกับคุณสรวงมณฑ์เต็มที่ บทความนี้แม่ก็ให้คุณพ่อหนูได้อ่านด้วยเช่นกัน

ผลที่เกิดในวันนี้เป็นสิ่งที่แม่ชื่นใจมาก หนูเป็นเด็กที่มีสมาธิดีมาก เรียกว่าสมาธิยอดเยี่ยม และก็ชอบวาดรูปเล่นมาก ชอบสร้างสรรค์โน่น นี่ นั่นไปได้เรื่อยๆ ไม่มีเบื่อ และที่สำคัญตอนนี้หนูรักการอ่านมาก

อนุบาลหนึ่งผ่านไป ผลการเรียนของหนูถือว่าดีมากสำหรับแม่ หนูมีความสุขและสนุกกับการเรียนรู้

และเมื่อหนูขึ้นอนุบาลสอง หนูยังเขียนไม่คล่องเพราะกล้ามเนื้อมือยังไม่แข็งแรง ตอนแรกแม่ก็กลุ้มใจมากเพราะเพื่อนๆ ของหนูเขียนกันได้คล่องแล้ว แต่เมื่อแม่ได้อ่านหนังสือเรื่องพัฒนาการการเรียนของลูก และได้คุยกับพี่ที่ใจดีท่านหนึ่ง แม่ก็สบายใจขึ้นมาก แล้วแม่ก็ไม่เร่งให้หนูเขียนอีกเลย

แม้หนูจะยังเขียนไม่เป็น เขียนไม่ได้ แม่ก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว เพราะแม่รู้ว่าเดี๋ยวหนูก็จะทำได้เองเมื่อถึงเวลา แล้วแม่ก็มาเสริมเรื่องอื่นๆ ให้หนูแทน

อนุบาลสองของหนู แม่เริ่มเอาแบบฝึกหัดง่ายๆ มาให้หนูทำ หนูทำได้และสนุกมากด้วย ทำกันทุกวันหลังจากทำการบ้านวันละ ๕ นาที ๑๐ นาที และขยับขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นครึ่งชั่วโมง เป็นหนึ่งชั่วโมง และระดับความยากของแบบฝึกหัดก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในระหว่างนี้แม่ก็อ่านหนังสือให้หนูกับน้องเล็กของหนูฟังไปด้วยกันอย่างสม่ำเสมอ ไม่เคยขาดเลย

ในช่วงนี้อะไรที่ทำลายสมองของลูก แม่ลด ละ เลิกทั้งหมด และอะไรที่ช่วยพัฒนาสมองของลูก แม่ทำทั้งหมด

แม่จึงเน้นนิทานและเพลง แม่ทั้งอ่านนิทานและร้องเพลงเด็กให้หนูฟัง และเปิดซีดีเพลง ทั้งเพลงเด็ก เพลงคลาสสิก เพลงกล่อมนอนให้ฟังอยู่อย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะช่วยเรื่องฝึกสมาธิ พัฒนาสมองแล้ว ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้หนูเป็นเด็กอารมณ์ดีและร่าเริง

ในปีนี้แม่ยังให้หนูได้เรียนเปียโนด้วย เพราะเปียโนช่วยฝึกสมาธิและฝึกสมองได้ดีมาก เพราะแม่เชื่อว่าถ้าหนูไม่มีสมาธิ หนูก็จะเล่นไม่เป็นเพลงและเล่นได้ไม่ไพเราะ

แม่ยังอ่านเจอมาว่าสมองส่วนที่ใช้เรียนดนตรีกับเรียนคณิตศาสตร์เป็นส่วนเดียวกัน ถ้าต้องการพัฒนาทักษะทางด้านคณิตศาสตร์ก็ควรเรียนดนตรีควบคู่ไปด้วย เช่นเดียวกับวิทยาศาสตร์ ถ้าอยากให้ลูกเก่งวิทยาศาสตร์ก็ควรให้ลูกเรียนศิลปะควบคู่ไปด้วย เพราะเป็นการพัฒนาสมองส่วนเดียวกัน

แม้จะมีบางเสียงบอกแม่ว่า เด็กตัวแค่นี้ให้เรียนอะไรเยอะแยะ ไม่มีวันหยุดเลย เพราะวันเสาร์ก็เรียนดนตรี วันอาทิตย์ก็เรียนภาษาอังกฤ

แม่รู้ว่าแม่กำลังทำอะไร และทำเพื่อใคร แม่จึงไม่สนใจเสียงเหล่านั้น แม่รู้ว่าความรู้เหล่านี้จะเป็นอาภรณ์ประดับตัวให้ลูก และการเรียนดนตรีก็จะช่วยพัฒนาสมอง ไม่ใช่ทำลาย

ที่สำคัญการเรียนดนตรีไม่ใช่การเรียนที่เคร่งเครียด แถมได้ร้องเพลงสนุกๆ กับเพื่อนๆ ด้วย

ส่วนการเรียนภาษาอังกฤษนั้นนับว่าจำเป็นมากในยุคนี้สมัยนี้ คุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ยังบอกเลยว่า ยุคนี้ถ้าไม่เก่งภาษาอังกฤษ ประตูสู่อาชีพการงานที่ดีก็ถูกปิดไปแล้วหลายบาน

และแม่ก็อ่านพบมาอีกว่า การเรียนภาษา ยิ่งเรียนตอนอายุน้อยเท่าไหร่ก็จะยิ่งได้ประสิทธิผลดีเท่านั้น เพราะสมองของเด็กเล็กจะรับรู้ด้านภาษาได้ดีมาก

นับเป็นเรื่องง่ายและเป็นไปตามธรรมชาติของเด็กที่จะเรียนรู้ในช่วงวัยนี้ เทียบกับการไปเริ่มเรียนเมื่อโตแล้วซึ่งยากกว่ามากและไม่เป็นธรรมชาติเลย




 ตอนที่ ๗ "ท้อแท้แต่ไม่ถอย"

ในช่วงอนุบาลสองนี้ แม่เริ่มให้หนูทำแบบฝึกหัด ควบคู่ไปกับกิจกรรมการเล่นต่อจิ๊กซอว์ ต่อบล็อก โดมิโน ร้อยลูกปัด แกะกล่อง พับกระดาษ-ตัดกระดาษ ทดลองเรื่องระดับน้ำ ปริมาณน้ำ แสง-เงา ฯลฯ เพ...ื่อให้หนูได้สัมผัสกับของจริงมากที่สุด เพราะการเรียนรู้ที่สนุกสนานและอยู่ในความทรงจำของเด็กไปตลอดคือ การลงมือทำและการได้สัมผัสของจริง

นอกจากนี้แม่ก็พาไปเที่ยวทุกที่ ทะเล ป่าเขา พิพิธภัณฑ์ ตลาด วัด ห้างสรรพสินค้า นั่งรถไฟฟ้าทั้งรถไฟลอยฟ้า รถไฟใต้ดิน หัดดูสัญญาณไฟจราจร รถชนิดต่างๆ บนท้องถนน ทุกสิ่งทุกอย่างคือความรู้ที่แม่นำมาสอนให้หนูได้รู้จักสังเกตและเป็นความรู้ทั้งหมด

อนุบาลสองผ่านไป หนูมีความสุขและสนุกกับการเรียนรู้มากขึ้น และแม่ก็ปลื้มใจที่หนูจบชั้นอนุบาลสองมาได้ด้วยดี

ในช่วงท้ายปี แม่ได้ข้อมูลด้านลบของโรงเรียนสาธิตเกษตรมาหลายแบบ จนใจฝ่อห่อเหี่ยว และเริ่มเขว แต่แม่ไม่ถอย แม่ต้องรู้ความจริงให้ได้

ข้อมูลที่แม่ได้มาคือ สอบเข้ายากมากแทบไม่มีเปอร์เซ็นต์ที่จะสอบได้ และเข้าไปแล้วก็ต้องจ่ายแพงมาก บางคนจ่ายเจ็ดหลักลูกก็ยังไม่ได้เรียน บางคนไปช่วยงานโรงเรียนอยู่หลายปีลูกก็ไม่ได้เรียน บางคนสอบได้คะแนนสูงแต่ก็ไม่มีชื่อติดบอร์ด บางคนบริจาครถตู้เป็นคันๆ บางคนจ่ายล่วงหน้าเป็นหลักล้าน ฯลฯ แม่ไม่รู้เลยว่าข้อมูลเหล่านี้จริงเท็จแค่ไหน

แม่ได้ข้อมูลมาแบบนี้ แม่มึนงงมาก แล้วข้อมูลดีๆ ที่แม่เคยได้มาล่ะ ลูกเรียนแล้วมีความสุข ฝึกความเป็นผู้นำ-ผู้ตาม พัฒนาเด็กอย่างรอบด้าน เพื่อนดี สังคมดี คุณครูดี สภาพแวดล้อมดี มีความปลอดภัย ฝึกให้เด็กคิดเป็น กล้าคิดกล้าแสดงออก มีความมั่นใจในตัวเอง กล้าถามกล้าตอบ ไม่เน้นวิชาการมาก เรียนรู้คู่กิจกรรม มีคุณธรรมและจริยธรรม ฯลฯ และอันนี้มันจริงด้วยไหม

แม่ลืมบอกไปว่า ข้อมูลด้านดีเหล่านี้ แม่ได้มาจากคุณแม่ใจดีท่านหนึ่งที่มีลูกสองคนเรียนอยู่สาธิตเกษตร เด็กสองคนนี้เป็นเด็กที่น่ารักมาก เป็นเด็กหัวดี มารยาทดี มีความมั่นใจในตัวเอง แม่จึงอยากให้ลูกของแม่ได้เข้าเรียนในสถานศึกษาดีๆ แบบนี้บ้าง

ตอนนั้น แม่ยอมรับว่าแม่เครียด ไม่รู้จะเริ่มจากจุดไหน เข้าไปตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ยอดฮิตถามพ่อแม่ที่ลูกเรียนอยู่สาธิตเกษตรก็ไม่ค่อยได้คำตอบเลย

ตามความเข้าใจของแม่ แม่คิดมาโดยตลอดว่า โรงเรียนดังขนาดนี้ เขาจะไม่รักษาจริยธรรมเลยหรือ จะรับเด็กที่พ่อแม่มีเงินล้านเท่านั้นหรือไง แล้วปีหนึ่งๆ ที่จัดสอบปีละสามสี่พันคนเพื่ออะไร ถึงอย่างไรเขาก็ต้องมีจริยธรรมสิ ไม่อย่างนั้นพ่อแม่จะทุ่มเทพาลูกเข้าไปเรียนทำไม และจะยอมจ่ายกันเป็นล้านไปเพื่ออะไร ถ้าโรงเรียนไม่มีอะไรดี

ในที่สุด แม่ก็โชคดีมาก ที่ทำงานของคุณพ่อมีพนักงานเข้าใหม่คนหนึ่ง หลังจากทำความรู้จักคุ้นเคยกันดีแล้ว คุณพ่อก็ได้ทราบว่า น้องเขารู้จักกับคุณแม่ท่านหนึ่งที่มีลูกสอบเข้าสาธิตเกษตรได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ใช้เส้นสายที่เล่าลือกันว่ามี และไม่ใช้โควต้าบุคลากรหรือโควต้าสวัสดิการใดๆ แม่ให้คุณพ่อขอเบอร์โทร.มาทันที แล้วแม่ก็ได้คุย

แม่ได้รู้ความจริงในที่สุดว่า เด็กที่สอบได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งบารมีของใคร มีตัวตนอยู่จริงๆ

ในแต่ละปีจำนวนเด็กที่รับเข้าเรียนทั้งหมดคือ ๒๘๐ คน แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่มอย่างชัดเจน คือเด็กที่สอบได้เอง ๑๓๐ คน และเด็กที่เป็นโควต้าของบุคลากรภายในมหาวิทยาลัย และผู้มีอุปการคุณผู้ทำประโยชน์ใหักับโรงเรียนอีก ๑๕๐ คน

กลุ่มเด็กที่สอบได้เองนี้มีจริงๆ และใช้ความสามารถของตัวเองล้วน ๆ ส่วนเด็กในกลุ่ม ๑๕๐ คน จะแบ่งสัดส่วนออกเป็นลูกของบุคลากรภายในมหาวิทยาลัยและผู้มีอุปการคุณตามการพิจารณาของโรงเรียน

ในกลุ่มผู้มีอุปการคุณนี้เองที่เราได้ยินมาอย่างหนาหูว่า จ่ายเป็นล้าน บริจาครถตู้เป็นคัน สร้างอาคารเป็นหลัง ช่วยงานโรงเรียนทุกงาน บริจาคเงินทุกรอบ อะไรทำนองนี้ ซึ่งเป็นข่าวลือที่เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าจริงหรือไม่จริง

แต่ไม่น่าเชื่อว่า มันบั่นทอนกำลังใจของแม่ได้จริง

คุณแม่ใจดีท่านนี้ที่แม่คุยด้วยยังบอกด้วยว่า ค่าเทอมที่นี่ถูกมากเมื่อเทียบกับโรงเรียนอื่นๆ ถ้าได้เรียนถือว่าคุ้มมาก และได้เรียนยาวไปจนถึงม.๖ แถมยังมีโควต้ารับตรงเข้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อีกด้วย

และเนื่องจากค่าเทอมไม่แพง ทางโรงเรียนจึงจำเป็นต้องมีพ่อแม่ผู้ปกครองผู้มีอุปการคุณที่คอยให้การสนับสนุน เพื่อที่ทางโรงเรียนจะได้นำปัจจัยที่ได้เหล่านี้มาพัฒนาการศึกษา และพัฒนาโรงเรียนให้ดีขึ้น แม่จึงได้เข้าใจแจ่มแจ้ง และกลับมามองโรงเรียนในแง่ดีและศรัทธาโรงเรียนนี้ยิ่งขึ้นกว่าเดิม

นอกจากนี้คุณแม่ท่านนี้ยังบอกวิธีการเตรียมตัวลูกอีกมากมายให้แม่นำมาปรับใช้ แม่ดีใจมาก รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที แล้วแม่ก็วางแผนเป็นขั้นเป็นตอน ตั้งเป้าและปักธงที่สาธิตเกษตรแน่นขึ้น

ใครถามว่าหนูจะไปสอบเข้าป.๑ ที่ไหน แม่จะตอบแบบมั่นใจทุกครั้งว่าสาธิตเกษตร ปฏิกิริยาที่แม่ได้รับก็จะแตกต่างกันไป แต่ขอย้ำว่าแม่รู้ดีว่าแม่กำลังทำอะไรและเพื่อใคร



ตอนที่ ๘ "เรียนเสริมบ่ายวันเสาร์"
เข้าสู่อนุบาลสาม แม่ตามล่าหาหนังสือแบบฝึกหัดแทบทุกเล่มที่มีในร้านหนังสือ แล้วคัดเลือกเรื่องที่จะ...สอน เรียงลำดับจากง่ายไปยาก เริ่มสอนลูกเรื่องง่ายๆ ก่อน และค่อยขยับไปเรื่องยากตามลำดับ
ปีนี้เมื่อแม่หาข้อมูลมากขึ้นว่าจะติวหนูยังไงดี แม่ก็เริ่มเครียดอีกว่าจะติวอะไร ยังไง ข้อสอบเป็นประมาณไหน ติวถูกทางหรือเปล่า แล้วแม่ก็มึนๆ อีกครั้ง
จนกระทั่งเปิดอินเทอร์เน็ตไปเจอครูติวท่านหนึ่งในเว็บไซต์ momypedia.com อ่านไปอ่านมา ก็ตัดสินใจทันทีว่า ส่งไปติวดีกว่า เพราะ
๑. จะได้รู้แนวทางว่าจะต้องติวอะไรให้หนู
๒. หนูจะได้เจอเพื่อนๆ ที่ต้องไปปฏิบัติภารกิจเหมือนๆ กันกับหนู
๓. แม่ก็จะได้คุยกับคุณครูและพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีอุดมการณ์เดียวกันด้วย
แล้วแม่ก็ส่งหนูไปเรียน (อีกแล้ว) แต่คราวนี้เป็นการเรียนเสริมบ่ายวันเสาร์ ครั้งละ ๒ ชั่วโมง คุณพ่อเริ่มบ่น แต่แม่ไม่พูดอะไรมาก ความหมายก็คือ ไม่ต้องเข้าใจ แค่ตามใจคอยไปรับ-ส่งก็พอ
ชีวิตเสาร์อาทิตย์ของครอบครัวเราจึงมีตารางกิจกรรมเพิ่มขึ้น เช้าวันเสาร์เรียนดนตรี บ่ายเรียนเตรียมความพร้อม ส่วนช่วงเช้าวันอาทิตย์เรียนภาษาอังกฤษ เราไปไหนไปกันแบบนี้ตลอดทั้งปี จนมันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่คุ้นเคยและสนุกสนาน
การเรียนเสริมบ่ายวันเสาร์ได้ผลดีจริงๆ เพราะทำให้แม่รู้ว่าหนูยังอ่อนอะไร ไม่ได้อะไรบ้าง และควรเสริมอะไรต่อ คุณครูสอนความรู้ให้หนูได้ดีจริงๆ ช่วยสอนให้หนูคิดเป็น แถมยังได้ลองสนามสอบจำลองที่มีประโยชน์มาก และแม่ก็ยังได้รู้จักเพื่อนร่วมทางอีกหลายคนด้วย
ในสนามสอบจำลองทำให้แม่ได้รู้จุดอ่อนที่ควรแก้ไขและข้อควรระมัดระวังมากขึ้น เด็กหลายคนมีสมาธิดีแค่ในช่วงครึ่งแรก แต่ช่วงครึ่งหลังสมาธิหลุด และมีหลายคนที่อ่านออกเขียนได้คล่องก็มักจะไม่รอฟังคำสั่งของครู โดยจะอ่านเองและทำล่วงหน้าไปก่อน ทำให้กาผิดข้อ บางคนก็ดูข้อไม่ดี กาผิดข้อไปก็มี หรือบางคนใส่ชุดใหม่มาสอบ นั่งเล่นลูกปัดที่ชุดก็มี
การให้ลูกได้ลองสนามสอบจำลอง จึงทำให้เห็นจุดอ่อนของลูก และแก้ไขจุดอ่อนนั้นได้ก่อนที่จะลงสนามสอบจริง
แม่ได้อ่านข้อมูลเรื่องการติวจากเว็บไซต์หนึ่ง ทำให้แม่รู้ว่า ผู้ปกครองบางคนเอาจริงเอาจังมาก ให้ลูกไปติวมากกว่า ๑ ที่ บางคน ๒ ที่ บางคนติวสูงสุดถึง ๔ ที่ แม่อ่านด้วยความอัศจรรย์ใจในความทุ่มเทเหล่านั้น แล้วแม่ก็ได้แต่รำพึงออกมาว่า “เขาทุ่มเทกันขนาดนี้เลยนะ”
แล้วแม่ก็อ่านข้อความต่อไป เขาบอกต่ออีกว่า... แต่ก็ใช่ว่าติวเยอะๆ แล้วจะเป็นเครื่องรับประกันว่าสอบได้ บางคนติวหลายที่แต่สอบไม่ได้ก็มี บางคนติวที่เดียวสอบได้ก็มี บางคนไม่ส่งติวเลยพ่อแม่สอนเองสอบได้ก็มี แม่ฟังแล้วก็อึ้ง แต่แม่ก็เชื่อมั่นว่า ติวกับแม่นี่แหละดีที่สุด เพราะแม่รู้จักลูกดีที่สุด และแม่ก็รู้ว่าลูกได้อะไรและยังไม่ได้อะไร
นอกจากนี้คุณครูเจ้าของโรงเรียนอนุบาลของหนูยังเมตตา เปิดสอนคอร์สสอนพ่อแม่เพื่อติวให้ลูก เดือนละครั้ง คุณครูทุ่มเทมากๆ แม้คุณครูจะมีลูกเล็กแต่ก็ปลีกเวลามาสอนให้กับพ่อแม่ที่สนใจ
แม่ไปเรียนทุกครั้ง ยกเว้นครั้งสุดท้ายที่แม่ติดธุระจริงๆ ไม่สามารถไปเรียนได้ แม่ได้ความรู้และข้อคิดในการสอนลูกมามากมาย ทั้งเทคนิคในการสอนเชาวน์ การสอนเลข และการสอนภาษาไทย
นอกจากนี้แล้วแม่ยังได้ข้อมูลมาจากเว็บไซต์ momypedia อีกว่า มีครูติวใจดีท่านหนึ่งแถวแจ้งวัฒนะจัดคอร์สแบ่งปันขึ้น เป็นคอร์สที่ติวให้ฟรี ๓ ครั้งช่วงปิดเทอมเดือนตุลาคม ทางคุณครูจัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่สี่แล้ว แต่ต้องไปทดสอบความพร้อมเพื่อคัดเลือกก่อน แม่จึงพาหนูไปทดสอบ ปรากฏว่าหนูสอบผ่านและได้เรียนฟรี ๓ ครั้ง
จากการเรียนกับคุณครูที่แจ้งวัฒนะ ทำให้แม่รู้มากขึ้นว่าหนูอ่อนอะไร และต้องเสริมจุดไหนเพิ่มเติม คุณครูอธิบายและให้คำแนะนำมาดีมาก
กิจกรรมการเตรียมความพร้อมให้หนูมีขึ้นทุกวันเป็นประจำสม่ำเสมอไม่เคยขาด กลับจากโรงเรียนหลังจากทำการบ้านแล้วเราก็จะมานั่งทำแบบฝึกหัดกัน วันละประมาณ ๑ ชั่วโมงก่อนออกไปวิ่งเล่น
แม่เชื่อว่าการฝึกทำแบบฝึกหัดบ่อยๆ เป็นประจำสม่ำเสมอ จะช่วยให้หนูคุ้นเคยกับการทำข้อสอบ เพิ่มความเชี่ยวชาญ พัฒนาการคิด ให้คิดเป็นขั้นเป็นตอน คิดเชื่อมโยงได้ คิดแยกแยะเป็น พลิกแพลงได้ ใช้เหตุผลในการคิด และการทำแบบฝึกหัดทุกวันยังเป็นการช่วยฝึกวินัยให้หนูด้วย
แม่เชื่อว่า ถ้าหากหนูจะสอบไม่ติดสาธิตเกษตร แต่ความรู้และกระบวนการเหล่านี้จะติดตัวหนูไปตลอด ไม่ว่าหนูจะได้เรียนที่ไหนก็ตาม
แม่ไม่เสียดายเวลาที่เราติวกันนี้เลย แต่กลับมีความสุขที่ได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก และลูกก็สนุกด้วยที่ได้ทำแบบฝึกหัดที่ท้าทายกับแม่

ตอนที่ ๙ "สอบจริงในสนามซ้อม"

ในช่วงปีนี้ นอกจากจะนั่งทำแบบฝึกหัดอยู่บ้านแล้ว แม่ยังให้หนูได้ไปลองสนามสอบด้วย เพื่อดูว่าถ้าหนูต้องไปสอบกับเพื่อนๆ เยอะแยะมากมาย หนูจะเป็นยังไง จะตื่นสนามไหม

สนามแรกที่แม่เลือกค...ือ สนามสอบพรีเทสสาธิตประสานมิตร จัดสอบช่วงเดือนพฤศจิกายน สนามนี้มีนักเรียนไปสอบประมาณ ๓,๐๐๐ คน ข้อสอบจะเน้นการคิดและจับใจความ คะแนนที่ได้ก็อาจจะพอวัดได้ในระดับหนึ่ง

วันที่หนูไปสอบแม่ก็ตื่นเต้นพอๆ กับวันสอบจริง และรอลุ้นผลไม่ต่างกัน วันที่ไปสอบคนเยอะมากจริงๆ แต่สิ่งที่แม่พอใจมากที่สุดกลับไม่ใช่ผลสอบ ลูกของแม่กล้าที่จะเดินเข้าไปสอบกับเพื่อนๆ โดยไม่งอแงร้องไห้ และเดินไปเข้าห้องสอบอย่างมั่นใจ แม่อยากบอกว่าแม่ภูมิใจมาก

แล้ววันที่ผลสอบออกก็มาถึง แม่รีบเปิดดูผลทางอินเทอร์เน็ตแต่เช้า ที่นี่จะบอกคะแนนที่เป็นคะแนนที-สกอร์สูงสุด กับต่ำสุด บอกคะแนนกับลำดับที่ที่หนูสอบได้ หนูสอบได้ ๖๑.๗๘๙๐๑ คะแนน ได้ลำดับที่ ๑๗๔ จากคะแนนสูงสุด ๖๙.๘๔๒๖๙ และคะแนนต่ำสุด ๓๒.๐๙๑๐๐

จะเห็นว่าจุดทศนิยมเยอะมาก แม่เคยอ่านเจอว่า เวลาสอบจริงเด็กบางคนสอบไม่ได้ ก็ตัดกันตรงจุดทศนิยมสองตัวหลังนี่เอง แม่จึงคิดว่าการกาผิด ๑ ข้อมีผลมาก สามารถทำให้เด็กสอบติดและไม่ติดได้

คะแนนพรีเทสของหนูถือว่าอยู่ในระดับที่มีลุ้นสำหรับแม่ ทำให้แม่มีความหวังมากขึ้น แต่ก็ต้องมาฝึกหนูมากขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะคะแนนพรีเทสนี้ไม่สามารถเอามาเป็นตัวชี้วัดได้ว่าหนูจะสอบได้หรือไม่ได้ เป็นเพียงการลองสนามสอบเท่านั้น

เราฝึกทำแบบฝึกหัดกันอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอเหมือนเดิม มีกิจกรรมที่ทำต่อในช่วงค่ำหลังจากที่ออกไปวิ่งเล่นมาแล้วคือซ้อมเปียโนกับร้องเพลง ส่วนนิทานนั้น แม่ยังอ่านให้หนูฟังเหมือนเดิม เพื่อความสนุกสนาน เสริมสร้างจินตนาการ และเพื่อจับใจความ

ในการสอบของทุกสาธิต จะเน้นเรื่องการอ่านจับใจความมาก ทั้งนี้น่าจะเน้นสมาธิของเด็กด้วย ถ้าเด็กไม่ตั้งใจฟังก็จะตอบไม่ได้ บางคำถามก็เน้นการคิดวิเคราะห์ด้วย ไม่ใช่ถามจากเรื่องเท่านั้น แม่จึงอ่านนิทานให้ฟังและให้คุณพ่อเล่านิทานให้ฟังก่อนนอนทุกคืน เพราะการเล่าปากเปล่าจะช่วยเสริมจินตนาการได้ดีกว่าการอ่านภาพจากหนังสือ

สนามสอบต่อไปที่แม่ตั้งใจให้ไปสอบคือ โรงเรียนราชวินิต (ห้องพิเศษ) สนามนี้เป็นสนามสอบจริงครั้งแรกของหนู มีนักเรียนมาสอบพันกว่าคน รับ ๑๒๐ คน นับว่าเป็นสนามที่ใหญ่มาก ข้อสอบของที่นี่มี ๖๐ ข้อเหมือนสาธิตเกษตร แต่จะมีภาษาอังกฤษ ๕ ข้อ อีก ๕๕ ข้อเป็นเชาวน์ เลข ภาษาไทย และความรู้ทั่วไป ในปี ๒๕๕๗ นี้ที่ราชวินิตสอบเดือนกุมภาพันธ์

วันที่ประกาศผล แม่เปิดดูผลทางอินเทอร์เน็ตแต่เช้าเหมือนเคย แล้วแม่ก็ดีใจมากที่เห็นชื่อหนู แต่หนูอยู่ในกลุ่มเด็กที่มีคะแนนเท่ากัน ต้องไปสอบใหม่ ปีนี้มีรายชื่อเด็กที่สอบได้คือลำดับที่ ๑-๑๑๓ เรียงตามคะแนนสูงสุดไล่ลงมา ส่วนลำดับที่ ๑๑๔-๑๓๑ ได้คะแนนเท่ากัน

การสอบรอบสองแม่ก็ลุ้นยิ่งกว่ารอบแรก เพราะทางโรงเรียนจะรับเพิ่มอีกแค่ ๗ คนเท่านั้น ในวันสอบใหม่หนูทำคะแนนเพิ่มขึ้นจากเดิมได้อีก ๔ คะแนน และจะได้เป็นนักเรียนของโรงเรียนราชวินิต แม่ดีใจมากที่หนูได้ที่เรียนสำรองไว้แล้ว แม้จะต้องฝ่าฟันการจราจรที่ติดขัดและไกลบ้านก็ตาม...

บันทึกไว้ ณ วันที่ 8 ธ.ค. 57 ตะวันเรียนอยู่ อ.1 เทอม 2



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น